เปิดนโยบายแท็บแล็ตพรรคเพื่อไทย ชูเนื้อหาสาระ ตั้งเงื่อนไขหรู คงทน เสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ ใช้วิธีเปิดประมูลจัดหา ราคากลาง 4,000-5,000 บาทต่อเครื่อง โรงเรียนเอกชนได้ด้วย เล็งตั้งสำนักงานบริหารโครงการถาวรในกระทรวงศึกษาฯ บรรจุเป็นงบประมาณประจำปี จัดซื้อแจกเด็ก ป.1 ทุกปีไม่มีกำหนด ประเดิมแจก 8 แสนเครื่องพฤษภาคมปีหน้า
แหล่งข่าวพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดโครงการจัดซื้อ One Tablet One Per Child หรือแท็บเล็ต ให้แก่เด็กนักเรียน ป.1 ทั่วประเทศ ตามที่ประกาศหาเสียงไว้กับประชาชน เบื้องต้นการจัดหาแท็บเล็ตจะใช้วิธีการเปิดประมูลให้กับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมเสนอราคา ซึ่งแท็บเล็ตที่จะมีการจัดซื้อจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ 1.ความคงทนของเครื่องมือ ที่จะต้องไม่ชำรุดเสียหายง่ายจนเกินไป 2.เสถียรภาพของระบบการใช้งาน และ 3.ความน่าเชื่อถือของตัวเครื่องและผู้ผลิต
แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนราคากลางการจัดซื้อกำหนดไว้ประมาณเครื่องละ 4,000-5,000 บาท จัดซื้อประมาณ 7-8 แสนเครื่อง เพื่อแจกให้เด็กนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ทั้งโรงเรียนรัฐและเอกชน แต่ช่วงแรกจะเน้นโรงเรียนรัฐก่อน โดยเครื่องแท็บแล็ตที่ได้รับแจกไป จะถือเป็นสมบัติของเด็ก ไม่ต้องส่งคืน คาดว่าจะเริ่มต้นแจกครั้งแรกได้ภายในช่วงเดือนพฤษภาคม 2555
วัตถุประสงค์สำคัญในการดำเนินงานโครงการนี้ ไม่ได้อยู่ที่การมุ่งแจกเครื่องแท็บเล็ตให้เด็ก แต่เราให้ความสำคัญกับการแจกเนื้อหาสาระความรู้ สื่อการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่อยู่ในแท็บเล็ตมากกว่า เพราะแท็บเล็ตที่แจกไปจะเป็นทั้ง E-book และ E-Learning บรรจุเนื้อหา 4 วิชาหลัก คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ส่วนเกมถ้าจะมีอยู่ในเครื่อง จะถูกเป็นเกมประเภทการฝึกทักษะความรู้ ไหวพริบ เชาวน์ปัญญาเท่านั้น และจะมีการตั้งระบบภายในตัวเครื่องเพื่อป้องกันการดาวน์โหลดข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับเด็กไว้ด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินงานโครงการนี้ จะมีการจัดตั้งสำนักงานบริหารงานโครงการขึ้นมาดูแลติดตามงานโดยเฉพาะ คาดว่าจะอยู่ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ และการจัดซื้อเครื่องจะไม่ได้ทำเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น จะทำเป็นแผนงานต่อเนื่องทุกปี บรรจุงบประมาณการจัดซื้อเครื่องให้เป็นงบประจำ โรงเรียนจะรับหน้าที่ในการประสานงานกับบริษัทผู้ขาย ทำการอัพเดตข้อมูล หลักสูตรการเรียนการสอน ตามระดับชั้นของเด็กที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี รวมถึงการซ่อมแซมเครื่อง ในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้นด้วย
ยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่เป็นภาระเรื่องงบประมาณอย่างแน่นอน เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องลงทุน ผลตอบแทนที่ได้รับมันคุ้มค่า รัฐบาลที่ผ่านมาใช้เงินไป 6-8 หมื่นล้านบาท ทำโครงการเรียนฟรี 15 ปี ถามว่าผลที่ออกมาเป็นอย่างไร แต่เราใช้เงินสำหรับโครงการนี้เพียงแค่ปีละ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น และในอนาคตถ้าโครงการเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ สามารถจัดทำโปรแกรมหนังสือเรียนเข้าไปในแท็บเล็ตได้ รัฐบาลจะประหยัดงบฯจัดซื้อตำราเรียนได้จำนวนมหาศาลในแต่ละปีด้วย เหมือนประเทศเกาหลี ที่กำลังลงทุนปรับระบบการเรียนการสอนของเด็กให้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต แทนการใช้ตำราเรียนอยู่ในขณะนี้ แหล่งข่าวระบุ
ที่มา :?มติชนรายวัน ฉบับ 29 ก.ค.2554