อย่างที่เรานำเสนอข่าวไปแล้ว ถึงการเปิดตัวสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรุ่นใหม่จาก ASUS ไปในงาน Computex 2013 ที่ไต้หวันเมื่อวานนี้ (ข่าวเปิดตัว MeMo Pad, ข่าวเปิดตัว FonePad Note FHD 6) ในวันนี้ทางเราก็ไปทำการสัมผัสตัวจริงของแต่ละรุ่นมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมมีบทความ hands-on มาให้ชมกันด้วยครับ มาดูกันทีละรุ่นเลยดีกว่า
ASUS MeMO Pad HD 7
ตัวของ ASUS MeMO Pad HD 7 นั้น ออกแบบมาเป็นแท็บเล็ตราคาประหยัด เช่นเดียวกับ MeMo Pad รุ่นปัจจุบัน โดยในรุ่นนี้มีการอัพเกรดขึ้นในหลายๆ ส่วน เช่น มีการเพิ่มกล้องหลังเข้ามา รวมไปถึงเพิ่มความละเอียดจอเพื่อให้สามารถแสดงภาพได้สวยงามมากยิ่งขึ้น
สเปค ASUS MeMO Pad HD 7 ครับ
- ชิปประมวลผล MediaTek MT8125 แบบ quad-core ไม่ระบุความเร็ว มาพร้อมชิปกราฟิก PowerVR SGX544
- RAM 1 GB
- พื้นที่เก็บข้อมูล 16 GB พร้อมช่องใส่ microSD สูงสุด 32 GB
- หน้าจอพาเนล IPS ขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 800
- กล้องหลังความละเอียด 5 MP กล้องหน้าความละเอียด 1.2 MP
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ 10 ชั่วโมง
- ไม่รองรับ 3G
- มาพร้อม Android 4.2
- ขนาดเครื่อง 120.6 x 196.8 x 10.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 302 กรัม
- ราคารุ่น 16 GB อยู่ที่ $149 (ประมาณ 4,600 บาท) เริ่มเปิดขายช่วงเดือนสิงหาคม
- สเปคเต็มๆ ของ ASUS MeMO Pad HD 7
หน้าตาของ ASUS MeMO Pad HD 7 นั้น ก็ยังคงมาในแบบเรียบง่ายเช่นเดิม แต่จุดที่เห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงก็คือความละเอียดหน้าจอที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเก่า โดยเท่าที่สังเกตคือภาพมีสีสันสดใส มุมมองของภาพก็จัดว่าดีเลยทีเดียว ขอบจอใช้เป็นกระจกเนื้อเดียวกับกระจกปิดหน้าจอ ส่วนปุ่มสั่งงานทั้งสี่ปุ่มนั้นใช้เป็นแบบซอฟต์คีย์ของตัว Android เอง
ด้านบนเหนือจอมีกล้องหน้าติดตั้งอยู่?
ต่อมาก็ดูที่ฝาหลังกันบ้าง โดยตัวของ ASUS MeMO Pad HD 7 นี่จะมีฝาหลังให้เลือกด้วยกันหลายสี เช่น น้ำเงินเข้ม, ขาว, ชมพูและเขียว โดยพื้นผิวของสีน้ำเงินเข้มจะเป็นพลาสติกเหนือสากกว่า (เป็นรอยนิ้วมือง่าย) ส่วนอีกสามสี่ที่เหลือจะเป็นพลาสติกมันวาวสะท้อนแสง
ด้านบนมีกล้องหลังติดตั้งอยู่ ซึ่งตัวกล้องจะนูนมาจากฝาหลังเล็กน้อย ฝาหลังไม่สามารถแกะออกได้นะครับ
ด้านล่างเป็นแถบของลำโพง ซึ่งภายในมีลำโพงอยู่ 2 ตัว อีกทั้งยังใช้ระบบ SonicMaster ของ ASUS เอง แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถทดสอบคุณภาพเสียงได้ดีนัก เพราะบริเวณงานมีเสียงดังมาก
ฝั่งขวาของเครื่องมีปุ่ม Power และแถบของปุ่มเพิ่มลดเสียง
ตัวปุ่มนั้นนูนขึ้นมาจากสันเครื่องพอสมควร สามารถกดได้ง่าย แต่ก็ต้องระวังเรื่องการเผลอไปกดปุ่มได้เหมือนกัน
ส่วนฝั่งซ้ายมีเพียงช่องใส่ microSD เท่านั้น
ด้านบนมีช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรกับช่อง Micro USB โดยเท่าที่ลองสัมผัสและทดลองใช้งานเครื่องนั้น ก็สามารถทำงานได้ไหลลื่นดี มีหน่วงๆ ลงบ้างก็ตอนที่เปิดหน้ารวมแอพขึ้นมา แต่จุดที่น่าพอใจก็คือเรื่องของน้ำหนัก ที่กำลังพอดีกับตัวเครื่อง
โดยนอกจากการเปิดตัวแท็บเล็ต ASUS MeMO Pad HD 7 แล้ว ก็ยังมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริมอย่างเช่นเคสและฝา cover ด้วยเช่นกัน
ASUS MeMO Pad FHD 10
รุ่นต่อมาที่ ASUS เปิดตัวในงาน Computex 2013 ก็คือ?ASUS MeMO Pad FHD 10 ที่ยังอยู่ในไลน์ของ MeMo Pad ที่เน้นราคาคุ้มค่าอยู่ (แต่รุ่นนี้ยังไม่เปิดราคา) โดยเพิ่มขนาดหน้าจอมาเป็น 10.1 นิ้ว เพื่อให้สามารถใช้งานเพื่อความบันเทิงได้เต็มอารมณ์มากขึ้น โดยถือว่าเป็นรุ่นต่อมาจาก ASUS MeMO Pad Smart 10 ที่วางขายมาแล้วระยะหนึ่ง
?สเปค ASUS MeMO Pad FHD 10 มีดังนี้
- ชิปประมวลผล Intel Atom Z2560 Dual-core ความเร็ว 1.6 GHz มาพร้อมชิปกราฟิก PowerVR SGX544MP2
- RAM 2 GB
- มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกทั้ง 16 และ 32 GB
- หน้าจอ IPS ขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1200
- กล้องหลังความละเอียด 5 MP รองรับออโต้โฟกัส กล้องหน้าความละเอียด 1.2 MP
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ 10 ชั่วโมง
- Android 4.2
- ขนาดตัวเครื่อง 246.6 x 182.4 x 9.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 580 กรัม
- ไม่รองรับ 3G
- สเปคเต็มๆ ของ ASUS MeMO Pad FHD 10
ส่วนของหน้าเครื่องทั้งหมดจะใช้เป็นกระจกชิ้นเดียวอย่างเช่นใน MeMO Pad HD 7 ด้านบน ซึ่งตัวกระจกนั้นสะท้อนแสงพอสมควร จึงอาจจะมีปัญหาถ้าใช้งานกลางแจ้งอยู่บ้าง ปุ่มสั่งงานทั้งหมดใช้เป็นแบบซอฟต์คีย์ของ Android มาตรฐานครับ
ด้านหลังของ ASUS MeMO Pad FHD 10 นั้น จะเคลือบซอฟต์ทัชไว้ พร้อมทั้งลงพื้นผิวเป็นลายคล้ายๆ คาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งลวดลายตรงนี้ก็มีส่วนช่วยให้สามารถจับเครื่องได้กระชับมือขึ้น และถ้าสังเกตดีๆ ตรงขอบของทั้งสองด้านซ้าย-ขวาเป็นตำแหน่งของลำโพงสเตอริโอที่ใช้ระบบ ASUS SonicMaster ซึ่งดูจากตำแหน่งแล้ว เป็นไปได้ว่ามืออาจจะบังช่องลำโพงก็ได้ เมื่อจับเครื่องด้านข้าง
ส่วนสีของฝาหลังนั้นมีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ได้แก่ ขาว, น้ำเงินเข้มและชมพู
ด้านบนติดตั้งกล้องหลังความละเอียด 5 MP อยู่
ส่วนด้านขวาของเครื่องก็จะมีช่องต่างๆ เช่นช่องรับเสียงของไมโครโฟนในเครื่อง, ช่อง Micro USB, ช่องใส่ microSD และช่อง Micro HDMI
ด้านล่างไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อใดๆ?
?ด้านซ้ายมีช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ถัดมาเป็นเป็นปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง
ด้านบนมีปุ่ม Power อยู่มุมซ้ายบนของเครื่อง (ถ้าหันจอเข้าตัว)
การใช้งานทั่วไป พบว่าสามารถตอบสนองการทำงานได้น่าพอใจครับ จอภาพสวยแถมยังมีมุมมองกว้างถึง 178 องศา ส่วนของตัวเครื่องนั้นมีความบางแค่ 9.5 มิลลิเมตร (iPad 4 หนา 9.4 มิลลิเมตร) และน้ำหนักค่อนข้างเบา ช่วยให้ถือได้สบายมือมาก เหลือก็แค่เรื่องราคาที่ยังไม่เปิดเผยออกมา จึงยังไม่แน่ใจว่ามันจะกลายเป็นแท็บเล็ตคุ้มค่าตัวหนึ่งในตลาดหรือไม่
เช่นเดียวกับ MeMO Pad HD 7 นั่นคือมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริมสำหรับ MeMO Pad FHD 10 ด้วย คือ TransCover ที่เป็นฝา cover ปิดเครื่อง ซึ่งน่าจะเริ่มวางขายพร้อมๆ กับตัวเครื่องในปีนี้
ASUS FonePad Note FHD 6
หลังจากที่สร้างกระแสแท็บเล็ตโทรได้ ราคาไม่แพงใน ASUS FonePad ไปแล้ว คราวนี้ ASUS เปิดตัว FonePad รุ่นใหม่ที่มีขนาดย่อมเยาลงมา นั่นคือ ASUS FonePad Note FHD 6 ซึ่งสเปคก็ตามด้านล่างนี้เลยครับ
สเปค ASUS FonePad Note FHD 6
- ชิปประมวลผล Intel Atom Z2560 Dual-core ความเร็ว 1.6 GHz มาพร้อมชิปกราฟิก PowerVR SGX544MP2
- RAM 2 GB
- หน้าจอพาเนล Super IPS ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 มุมมองกว้าง 178 องศา เคลือบด้วยกระจกป้องกันรอยขีดข่วน
- มีให้เลือกทั้งรุ่นความจุ 16 GB และ 32 GB รองรับ microSD สูงสุด 64 GB
- กล้องหลังความละเอียด 8 MP กล้องหน้าความละเอียด 1.2 MP
- รองรับฟีเจอร์การรับส่งข้อมูลผ่าน Wi-Fi Direct
- แบตเตอรี่ความจุ 3200 mAh
- ติดตั้งลำโพงสองจุดด้านหน้าเครื่อง
- มาพร้อมปากกาสไตลัส
- ยังไม่เปิดราคา
- สเปคเต็มๆ ของ ASUS FonePad FHD 6
คราวนี้มาดูหน้าตาของ ASUS FonePad Note FHD 6 กันบ้างครับ (ตัวเครื่องตั้งอยู่ในกล่องกระจก จึงไม่สามารถหยิบมาถ่ายได้)
ด้านหน้าของตัวเครื่องจะมีจุดเด่นอยู่ที่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่พร้อมความละเอียดสูง รวมไปถึงลำโพงด้านหน้าตัวเครื่องที่ติดตั้งอยู่บนและล่างสุดของด้านหน้า คล้ายกับใน HTC One ซึ่งก็คงให้ผลออกมาคล้ายกันคือให้เสียงที่ดังและมีพลังกว่าลำโพงในสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป ส่วนตัวของปากกาสไตลัสที่นำมาโชว์คู่กันนั้น สังเกตได้ว่าหัวปากกาเป็นแท่งพลาสติก ไม่ได้หุ้มด้วยยางเช่นเดียวกับปากกาสไตลัสในแท็บเล็ตรุ่นก่อนๆ หน้าของ ASUS ซึ่งก็น่าจะทำให้การเขียนทำได้ดีขึ้น
ดูด้านบนกันชัดๆ ครับ โดยจุดกลมๆ ไล่จากซ้ายไปขวาก็คือกล้องหน้าและเซ็นเซอร์วัดแสงสองจุด ตามลำดับ
?ด้านล่างเห็นแต่เพียงโลโก้ ASUS ส่วนปุ่มสั่งงานนั้นคาดว่าน่าจะเป็นแบบซอฟต์คีย์บนหน้าจอตรงบริเวณแถบดำๆ นะครับ
ด้านขวาของเครื่องมีปุ่ม Power และแถบปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง
ฝาหลังนั้นดูแล้วน่าจะเป็นพลาสติกผิวมันวาวสะท้อนแสง ซึ่งมีข้อดีตรงน้ำหนักเบา ส่วนช่องเสียบปากกาสไตลัสนั้น จะอยู่ตรงมุมซ้ายล่างของเครื่องในภาพ ตรงจุดที่เห็นว่ามันหยักลึกลงไปจากขอบเครื่อง ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าฝาหลังจะสามารถถอดได้หรือเปล่านะครับ
ส่วนด้านซ้ายนั้นไม่สามารถถ่ายได้ชัดเจนนัก เพราะใกล้ๆ กันนั้นมีกล่องกระจกของเครื่องรุ่นอื่นตั้งอยู่ ทำให้ไม่สามารถถ่ายได้ถนัด แต่ก็น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องที่น่าสนใจเครื่องหนึ่งในตลาดได้อย่างไม่ยาก ด้วยข้อดีทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ สเปคที่กำลังดี แถมมีปากกาสไตลัสให้ใช้งานด้วย
ASUS PadFone Infinity
ส่วนตัว PadFone Infinity นั้น ถือว่าเป็นรุ่นสืบต่อมาจาก ASUS PadFone 2 ที่ทำตลาดในบ้านเรามาระยะหนึ่งแล้ว โดยยังคงคอนเซ็ปท์เดิมอยู่คือสามารถใช้งานเป็นได้ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตตามความต้องการของผู้ใช้ ถ้าต้องการใช้มือถือก็หยิบตัวมือถือออกมา ส่วนถ้าจะใช้เป็นแท็บเล็ต ก็ให้เอามือถือเสียบลงไปในช่องของแท็บเล็ตเท่านั้นเอง ส่วนการทำงานและข้อมูลต่างๆ จะยังเหมือนเดิม เนื่องจากระบบทั้งหมดจะใช้ตัวมือถือเป็นเครื่องประมวลผลและเก็บข้อมูล ตัวของแท็บเล็ตมีหน้าที่เป็นแค่จอภาพที่มีปุ่มสั่งงานและที่เก็บแบตเตอรี่เสริมเท่านั้น โดยตัวมือถือจะใช้ชื่อเรียกว่า PadFone Infinity ส่วนตัวแท็บเล็ตจะใช้ชื่อเรียกว่า PadFone Infinity Station
สเปค ASUS PadFone Infinity (ตัวมือถือ)
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 600 Quad-core (APQ8064T) ความเร็ว 1.7 GHz มาพร้อมชิปกราฟิก Adreno 320
- RAM 2 GB
- หน้าจอพาเนล Super IPS+ ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080
- รองรับ 3G ความถี่ 900 และ 2100 MHz เท่านั้น รองรับ 4G LTE ความถี่ 800, 1800 และ 2100 MHz
- Android 4.1.2
- พื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้งรุ่น 32 และ 64 GB (ของในไทยไม่รู้ว่าจะมีรุ่นไหนเข้ามาบ้างนะครับ)
- กล้องหลังความละเอียด 13 MP ใช้เซ็นเซอร์ BSI ของ Sony และใช้ชุดเลนส์ 5 ชิ้น ค่ารูรับแสงกว้างสุด f/2.0
- กล้องหน้าความละเอียด 2 MP ค่ารูรับแสงกว้างสุด f/2.0
- ใช้นาโนซิม
- แบตเตอรี่ Li-polymer ความจุ 2400 mAh
- ขนาดเครื่อง 143.5 x 72.8 x 8.9 มิลลิเมตร (ส่วนที่บางสุด 6.3 มิลลิเมตร)
- น้ำหนัก 145 กรัม
- หน้าจอ Super IPS+ ขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1200
- ใช้เสาอากาศเดียวกับตัวมือถือ
- กล้องหลังใช้ตัวเดียวกับกล้องมือถือ
- กล้องหน้าความละเอียด 1 MP
- แบตเตอรี่ Li-Polymer ความจุ 5000 mAh
- ขนาดเครื่อง 264.6 x 181.6 x 10.6 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 532 กรัม
ตัวของ Padfone Infinity นั้น มีจุดที่เปลี่ยนแปลงจาก PadFone 2 ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือหน้าจอที่ขยายจาก 4.7 นิ้วมาเป็น 5 นิ้ว หน้าจอมีสีสันสวยงามคมชัด เนื่องด้วยความละเอียดจอที่สูงถึง Full HD ที่กลายเป็นมาตรฐานของสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ในปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ดีไซน์ของตัวมือถือ PadFone Infinity นั้น ปรับเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายมากขึ้น ไม่มีส่วนโค้งส่วนหยักมากเช่นเดียวกับใน PadFone 2 ผิวหน้าใช้กระจกปิดไว้ทั้งชิ้น (หน้าตาแอบคล้าย iPhone 4/4S พอสมควร)
ด้านล่างมีโลโก้ ASUS ติดอยู่
ส่วนฝาหลังนั้นเรียกว่าเป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นเก่าเป็นอย่างมาก โดยเปลี่ยนเป็นแบบเรียบโค้งรับอุ้งมือ วัสดุนั้นใช้เป็นอะลูมิเนียมอะโนไดซ์ขัดลาย เนื้อสัมผัสนั้นค่อนข้างสบายมือ
ด้านบนมีกล้องหลังและแฟลช LED ติดตั้งอยู่ราบไปกับฝาหลัง
ส่วนด้านล่างนั้นมีคำว่า PadFone ติดอยู่ ส่วนที่เป็นแถบสีขาวนั้นจะเป็นร่องลึกลงไปเล็กน้อย
ส่วนล่างของเครื่องมีช่องรับเสียงของไมค์สนทนาและช่อง Micro USB ส่วนที่เป็นรูกลมๆ ขนาบข้างพอร์ต Micro USB นั่นคือช่องสำหรับยึดตัวเครื่องให้ติดกับ PadFone Infinity Station ครับ
ฝั่งขวาของเครื่องมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง, ปุ่ม Power และพอร์ต MyDP (Mobility DisplayPort) สำหรับต่อภาพออกจอนอก รวมไปถึงใช้เป็น USB Host ได้ด้วย
ฝั่งบนมีแต่ช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ส่วนฝั่งขวามีแต่เพียงถาดใส่นาโนซิมเท่านั้น
หน้าตาของช่องเสียบ ASUS PadFone Infinity (มือถือ) ของตัว PadFone Infinity Station (แท็บเล็ต) ครับ ซึ่งเมื่อเสียบมือถือลงไปแล้ว ก็จะนำหน้าจอและงานที่ทำค้างอยู่มาทำบนจอของแท็บเล็ตในแทบจะทันที ช่วยให้สามารถใช้งานเชื่อมต่อกันได้ดี ส่วนเรื่องราคาและวันวางจำหน่ายในไทยนั้นยังไม่มีกำหนดออกมาครับ ต้องรอการเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการอีกที
ส่วนด้านล่างนี้ก็เป็นภาพตัวอย่างของอุปกรณ์เสริมจาก ASUS
ASUS Transformer Pad Infinity
ปิดท้ายที่ตัวของ ASUS Transformer Pad Infinity ที่เป็นรุ่นต่อของ Transformer Pad Infinity รุ่นปัจจุบัน ซึ่งในรุ่นใหม่นี้หลักๆ แล้วจะเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงสเปคภายในซะมากกว่า
สเปค ASUS Transformer Pad Infinity
- ชิปประมวลผล NVIDIA Tegra 4 Quad-core ความเร็ว 1.9 GHz มาพร้อมชิปกราฟิก NVIDIA GeForce 72 คอร์
- RAM 2 GB
- หน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 (ละเอียดกว่า iPad 4)
- แหล่งเก็บข้อมูลภายในขนาด 32 GB รองรับ microSD
- กล้องหลังความละเอียด 5 MP กล้องหน้าความละเอียด 1.2 MP
- แบตเตอรี่ความจุ 8180 mAh
- สามารถต่อภาพออกจอนอกผ่านพอร์ต HDMI ได้ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K
- พอร์ต USB ของตัวแท็บเล็ตเป็นพอร์ต USB 3.0
- สเปค ASUS Transformer Pad Infinity เต็มๆ (เท่าที่เปิดเผยในขณะนี้)
หน้าตาโดยรวมของ ASUS Transformer Pad Infinity รุ่นใหม่นี้ก็ไม่ต่างจากรุ่นปัจจุบันมากนัก ตัว Form Factor ก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมนั่นคือส่วนทำงานหลักๆ จะเป็นตัวแท็บเล็ต โดยมี keyboard dock เป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งในตัวของ dock ก็จะมีพอร์ตเชื่อมต่อสำหรับเสริมการทำงาน เช่น USB 3.0, ช่องเสียบอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ รวมไปถึงช่องอ่าน SD card อีกด้วย ซึ่งรองรับสูงสุดที่มาตรฐาน SDXC นอกจากนี้ในตัว dock ยังมีแบตเตอรี่ติดอยู่ในตัวอีกด้วย
หน้าตาโดยรวมอีกรูปหนึ่งครับ ถ้าประกอบร่างระหว่างแท็บเล็ตและ dock เข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นเน็ตบุ๊กเครื่องหนึ่งได้เลย
หน้าจอของ ASUS Transformer Pad Infinity ก็มีสีสันสวยงาม แต่อาจจะมองเห็นความละเอียดได้ไม่ชัดนัก เพราะเครื่องตั้งอยู่ในตู้กระจก จึงไม่สามารถสังเกตได้ชัดเจนนัก
ลักษณะของ dock และคีย์บอร์ดนั้นดูแล้วน่าจะไม่แตกต่างจากในรุ่นปัจจุบันเท่าไรนัก ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้ร่วมกันได้หรือเปล่านะครับ ส่วนของทัชแพดก็รองรับมัลติทัช ช่วยให้สามารถใช้งานได้สะดวกแม้จะไม่ใช้การสัมผัสจอ
ด้านซ้ายของตัวเครื่องก็มีช่องต่างๆ เช่น ช่องใส่ microSD ตรงกลาง, ช่อง Micro HDMI และช่องแจ็คเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ดูพอร์ตกันใกล้ๆ
ส่วนของ dock นั้นจะมีช่องเสียบอะแดปเตอร์ชาร์จไฟอยู่
ส่วนด้านขวาของแท็บเล็ตนั้นไม่มีช่องเชื่อมต่อหรือปุ่มใดๆ อยู่เลย
แต่ส่วนของ dock นั้นจะมีช่อง SD Card และพอร์ต USB 3.0
ด้านหลังมีแถบด้านบนที่ติดตั้งกล้องหลังและแฟลช LED อยู่ ส่วนปุ่มตรงมุมบนซ้ายของภาพเป็นปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และมุมบนขวาเป็นปุ่ม Power ของเครื่อง
ปุ่ม Power แบบใกล้ๆ ครับ
เรื่องของช่วงเวลาจัดจำหน่ายและราคานั้น ต้องรอทาง ASUS ประเทศไทยประกาศอีกที แต่คาดว่าน่าจะช้ากว่าต่างประเทศซักหน่อยนะครับ