ผ่านมาแล้ว 10 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว iPhone รุ่นแรก หรือ iPhone 2G และเราก็ได้เห็นพัฒนาการของ iPhone มาเรื่อยๆ จนถึงปี 2016 นี้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด (แต่บอดี้เก่า) ก็ได้แก่ iPhone SE ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ในแต่ละการเปลี่ยนแปลงของ iPhone นอกจากดีไซน์ และฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ก็คงจะเป็นตัวชิปประมวลผลของ iPhone นี่แหละครับ ที่มีการพัฒนาขึ้นไปทุกปี โดยวีดีโอที่ผมนำมาให้เพื่อนๆ รับชมกันในวันนี้เป็นวีดีโอจาก EverythingApplePro ที่ได้เปรียบเทียบความเร็วและประสิทธิภาพของ iPhone ทุกรุ่น ไล่มาตั้งแต่ iPhone 2G ไปจนถึง iPhone 6s และ iPhone SE
การทดสอบเริ่มจากการเปิดเครื่อง iPhone ทั้งหมด จำนวน 13 รุ่น ด้วยวิธีการเสียบสายชาร์จพร้อมกันครับ และ iPhone ที่เปิดเครื่องได้เร็วที่สุดก็คือ iPhone SE ตามมาด้วย iPhone 6s Plus และ iPhone 6s ตามลำดับ โดยสิ่งที่น่าสนใจคือความต่างระหว่าง iPhone 6s กับ iPhone 6 ในแง่ของการเปิดเครื่องที่ห่างกันพอสมควรเลยทีเดียว
ที่น่าแปลกคือ iPhone 2G หรือ iPhone รุ่นแรกดันเปิดเครื่องได้เร็วเป็นลำดับที่ 7 ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นอันดับสุดท้ายด้วยซ้ำ เพราะฮาร์ดแวร์เก่าที่สุด แต่อันดับบ๊วยกลับเป็น iPhone 4s ซะอย่างนั้น คาดว่าเป็นเพราะตัวซอฟท์แวร์ iOS 9 ล้วนๆ เลย
ต่อมาเป็นการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench รุ่นที่ทำคะแนนได้มากที่สุดก็ยังเป็น iPhone SE เหมือนเคย ด้วยคะแนน 2550 ในการทดสอบ Single Core และ 4445 คะแนนสำหรับ Multi Core แหม่ ของแรงจริงๆ
ส่วนการทดสอบด้านความเร็วการรับ Wifi (เลขมากยิ่งดี) ผลออกมาเป็น iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ทำคะแนนได้ดีที่สุด
ตามมาด้วยการทดสอบพลังเสียงของลำโพงในตัวเครื่อง ทั้งๆ ที่ iPhone SE และ iPhone 5, iPhone 5s มีบอดี้เดียวกันแท้ๆ แต่รุ่นที่สามารถเล่นเสียงได้ดังที่สุดกลับเป็น iPhone SE แถมยังดังแซงหน้า iPhone 6s กับ iPhone 6s Plus ไปอีก
การทดสอบความร้อนของตัวเครื่อง (หน่วยเป็นองศาฟาเรนไฮต์) เครื่องที่มีความร้อนมากที่สุดก็คือ iPhone 6 Plus ที่มาพร้อมกับชิป Apple A8 แสดงว่าชิป Apple A9 นี่นอกจากจะแรงแล้วยังมีการจัดการความร้อนที่ดีกว่า
ปิดท้ายด้วยการเปรียบเทียบภาพถ่าย อันนี้แอดมินแนะนำให้ไปดูในวีดีโอเลยจะเห็นภาพมากกว่าครับ
และนี่ก็คือวีดีโอการทดสอบประสิทธิภาพ iPhone ทุกรุ่นตั้งแต่ iPhone 2G ไปจนถึง iPhone SE แต่ดูจากการทดสอบแล้ว iPhone SE นี่แรงจริงแหะ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะหน้าจอขนาดเล็ก ความละเอียดไม่สูงมากเลยทำให้ชิป Apple A9 ไม่ต้องรับภาระเยอะก็เป็นได้
และอีกสิ่งที่เราเห็นจากการทดสอบครั้งนี้ก็คือ iPhone 4s ที่ได้รับการอัพเดตมาเรื่อยๆ กลับมีประสิทธิภาพที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นเก่าที่ถูกลอยแพไปแล้ว ส่วนตัวแอดมินว่า iPhone 4s ตอนนี้ไม่น่าเล่นแล้วครับ ถ้าใครเล็งๆ อยู่ (มือสอง) แอดมินว่าลองเก็บเงินเพิ่มไปซื้อเป็น iPhone 5s ขึ้นไป หรือไปเล่นมือถือ Android (มือหนึ่งหรือมือสอง) จะดีกว่านะ
ที่มา: EverythingApplePro