2,824 views
HUAWEI FreeBuds 3 เป็นหูฟังแบบ True Wireless รุ่นล่าสุดของ HUAWEI ที่มาพร้อมกับจุดเด่นอย่างระบบตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ มีชิปประมวลผลในตัว Kirin A1 ที่สำคัญคือหลังจากเปิดตัวไปในงาน IFA 2019 ก็ได้รับรางวัล Best of IFA จากสื่อระดับโลกมากมาย และตอนนี้ HUAWEI ประเทศไทยก็ได้นำ FreeBuds 3 เข้ามาวางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย สนนราคา 4,990 บาท
ส่วนตัวผมได้ลองใช้หูฟังรุ่นนี้มาประมาณ 2 สัปดาห์ครับ หลังจากที่ได้ลองใช้แบบจริงจัง ผมว่าในราคา 4,990 บาท หรือในช่วงราคาไม่เกิน 5,000 บาท ถ้าอยากได้หูฟัง True Wireless ที่เสียงดี ฟีเจอร์ครบครัน (และมากกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำไป) ในชั่วโมงนี้ผมว่า HUAWEI FreeBuds 3 เป็นหูฟัง True Wireless ที่ดีที่สุดในช่วงราคาดังกล่าวได้เลยล่ะ
และนี่คือ 5 จุดเด่นที่ทำให้ HUAWEI FreeBuds 3 เป็นหูฟังแบบ True Wireless ที่ดีที่สุดในราคาไม่เกิน 5,000 บาทครับ
1. มีระบบตัดเสียงรบกวน
จุดเด่นแรกของ HUAWEI FreeBuds 3 คือเป็นหูฟัง EadBuds แบบ True Wireless ตัวแรกของโลกที่มีฟีเจอร์ Active Noise Cancellation (ANC) หรือระบบตัดเสียงรบกวนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยการเรียกใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวเพียงแค่แตะหูฟังข้างซ้าย 2 ครั้งติดกัน (ค่าพื้นฐาน) เมื่อได้ยินเสียง Noise Cancelling On นั่นหมายความว่าระบบตัดเสียงรบกวนเริ่มทำงานแล้วครับ
ระบบตัดเสียงรบกวนใน HUAWEI FreeBuds 3 สามารถตั้งค่าการตัดความถี่เสียงได้จากแอปพลิเคชัน AI Life ผลที่ได้จากการเปิดฟีเจอร์ดังกล่าว ทำให้ผู้ใช้สามารถรับฟังเสียงเพลงได้อย่างเต็มอารมณ์ ไม่มีเสียงรบกวนรอบข้างมากวนใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในรถไฟฟ้าใต้ดินช่วงเวลาเร่งด่วน, ในร้านอาหารที่มีเสียงดัง หรือจะเป็นเสียงรบกวนในออฟฟิศ เช่น เสียงลมจากเครื่องปรับอากาศ, เสียงคีย์บอร์ด, เสียงคลิกเมาส์ เป็นต้น
แต่ไม่แนะนำให้เปิดฟีเจอร์นี้ระหว่างขับรถ หรือเดินบนท้องถนนนะครับ เพราะมันเงียบจนอาจเกิดอันตรายจากอุบัติเหตุได้นั่นเอง
ข้อดีอีกอย่างของฟีเจอร์ ANC ใน HUAWEI FreeBuds 3 คือมีความต่างของเสียงหูฟังระหว่างตอนเปิดระบบตัดเสียงรบกวน กับไม่เปิดน้อยมาก แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างด้วยซ้ำไป ตรงนี้ผมมองว่าเป็นอีกจุดเด่นมาก ๆ เลยก็ว่าได้ครับ เพราะในหูฟังตัดเสียงรบกวนแบบ ANC ที่ราคาใกล้ ๆ กับ FreeBuds 3 (ไม่เกิน 5,000 บาท) บางรุ่นตอนเปิดฟีเจอร์นี้ เสียงจะดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด
2. ไมโครโฟนให้เสียงคมชัด ตัดเสียงลมเงียบสนิท
ก่อนหน้านี้ผมคิดมาตลอดว่า AirPods 2 คือหูฟังแบบ True Wireless ที่ให้เสียงสนทนาคมชัดที่สุด เพราะในท้องตลาดตอนนี้ มีหูฟังหลายรุ่นที่เสียงดี แต่ไมโครโฟนเหมือนมีติดไว้เฉย ๆ เวลาต้องการคุยโทรศัพท์บางทีต้องสลับมาใช้ไมโครโฟนที่ตัวสมาร์ตโฟนแทน แต่เมื่อได้ลองใช้ HUAWEI FreeBuds 3 คุยโทรศัพท์แบบจริงจัง ผมว่าหูฟังรุ่นนี้ ไมโครโฟนของมันโหดกว่า AirPods 2 พอสมควรเลยล่ะครับ
HUAWEI FreeBuds 3 มาพร้อมกับเทคโนโลยี Aerodynamic Mic Duct Design ที่ช่วยตัดเสียงลม จึงสามารถคุยโทรศัพท์ได้อย่างชัดเจนขณะที่วิ่ง ขี่จักรยาน หรือแม้เดินคุยโทรศัพท์ริมถนนที่รถวิ่งจอแจ ในสถานะการณ์เดียวกัน AirPods 2 ก็ใช้คุยโทรศัพท์ได้ครับ ความดังของเสียงสนทนาอาจไม่หนีกันมาก แต่ปลายสายจะได้ยินเสียงลมตลอดการสนทนา
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ FreeBuds 3 ตัดเสียงลม และให้เสียงสนทนาที่คมชัด อยู่ที่การมี “Bone Sensor” หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับเสียงที่รับเสียงสนทนาผ่านการสั่นสะเทือนของแกนด้านใน ทำให้ชิป Kirin A1 สามารถโฟกัสได้ว่านี่คือเสียงสนทนาจากตัวผู้ใช้ และตัดเสียงที่ไม่ใช่ออกไป ช่วยให้ได้ยินเสียงขณะคุยโทรศัพท์ได้ชัดเจนมากขึ้น
3. สวมใส่สบาย เสียงดี มีเบส
ดีไซน์ของ HUAWEI FreeBuds 3 มีชื่อเรียกว่า Dolphin Bionic ทำให้สัมผัสการสวมเข้าไปในหูนั้นสะดวกสบาย ไม่ปวด และไม่หลุดง่าย เป็นอีกนวัตกรรมการดีไซน์แบบ Open-fit ตามหลักสรีรศาสตร์ จากที่ผมให้น้อง ๆ ในออฟฟิศหลายคนลองสวมใส่ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีครับ และส่วนตัวผมเองเมื่อเทียบกับ AirPods 2 รู้สึกว่า HUAWEI FreeBuds 3 จะใส่ได้พอดีกว่าเล็กน้อย
นอกจากเรื่องสวมใส่สบายแล้ว เรื่องเสียงของ HUAWEI FreeBuds 3 ผมว่ามันเป็นหูฟัง True Wireless ที่เสียงดีตัวหนึ่งเลยล่ะครับ คือถ้าเอา AirPods 2 เป็นตัวตั้ง* HUAWEI FreeBuds 3 จะให้เสียงที่หนากว่าในทุกย่าน เป็นเหมือน AirPods 2 ที่จูนเสียงมาให้ฟังเพลงสนุกกว่า มีเสียงเบสให้ฟังเพลงแล้วโยกหัวตามได้ แต่ก็แลกมากับเวทีเสียงที่แคบกว่าเล็กน้อย
*หมายเหตุ ทดสอบบนอุปกรณ์เดียวกัน (iPhone 11 Pro) Stream เพลงแบบ MQA ผ่านแอปพลิเคชัน Tidal
4. แบตเตอรี่อึด รองรับการชาร์ตหลายแบบ
HUAWEI FreeBuds 3 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานและเทคโนโลยีการชาร์ตที่สะดวก พอร์ตชาร์จเป็นแบบ USB Type-C นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จไร้สาย รวมถึงชาร์จด้วย HUAWEI Reverse Charging ผ่านสมาร์ตโฟนของ HUAWEI ได้ทันที เวลาชาร์จไร้สายต้องคว่ำหน้า Charging Case ลงนะครับ ให้โลโก้ HUAWEI อยู่ด้านบนจึงจะชาร์จได้ ส่วนการชาร์จด้วยสาย USB Type-C สามารถใช้สายชาร์จที่มากับสมาร์ตโฟน HUAWEI ได้เลย
ด้านแบตเตอรี่ การชาร์จ FreeBuds 3 ด้วยตัว Charging Case เต็ม 100% จะใช้ฟังเพลงได้ประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนการใช้คุยโทรศัพท์จากที่ทดสอบจะใช้งานได้ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที สามารถคุยโทรศัพท์ต่อเนื่องได้นานกว่า AirPods 2 เกือบ ๆ 30 นาที
Charging Case ของ HUAWEI FreeBuds 3 ที่มีแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถชาร์จไฟให้หูฟังได้ประมาณ 4 ครั้ง เพราะฉะนั้นการใช้งาน FreeBuds 3 ร่วมกับเคสชาร์จจะทำให้ใช้งานหูฟังได้ประมาณ 20 ชั่วโมงทีเดียวครับ
5. ฟีเจอร์ครบเครื่องในราคาคุ้มค่า
ในบรรดาหูฟัง True Wireless ที่มีลักษณะแบบ EarBuds ส่วนตัวผมว่าในราคา 4,990 บาท ชั่วโมงนี้ไม่น่าจะมีหูฟังตัวไหนครบเครื่องเท่ากับ HUAWEI FreeBuds 3 ล่ะครับ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งตรง ๆ ของมันอย่าง AirPods 2 ที่มีราคาสูงกว่า (รุ่นปกติ 5,990 บาท | รุ่นชาร์จไร้สาย 7,490 บาท) แถมไม่มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนอีกด้วย เพราะถ้าเทียบกับ AirPods ที่ตัดเสียงรบกวนได้ ก็ต้องเป็น AirPods Pro (9,490 บาท) ที่ราคาสูงกว่า HUAWEI FreeBuds 3 เกือบเท่าตัว
ภาพรวมของ HUAWEI FreeBuds 3 ราคา 4,990 บาท ถือว่าเป็นหูฟังที่มีทุกฟีเจอร์ที่หูฟัง True Wireless ดี ๆ สักตัวควรจะมี เริ่มจากเสียงที่ต้องยอมรับว่าคราวนี้ HUAWEI ทำการบ้านมาดีครับ เป็นหูฟังที่ฟังเพลงเพราะ โดยเฉพาะเสียงเบสที่ไม่ค่อยจะพบในหูฟังลักษณะแบบ EarBuds ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancelling ไมโครโฟนที่มาพร้อมฟีเจอร์การตัดเสียงลม ให้เสียงสนทนาที่คมชัด ไปจนถึงฟีเจอร์ในการชาร์จไฟที่รองรับทั้งแบบมีสาย (ผ่านพอร์ต USB Type-C) และรองรับการชาร์จไร้สายอีกด้วย