ในปี 2020 นี้ก็ได้มีแท็บเล็ตน่าใช้งานที่เปิดตัวมาใหม่ หลายยี่ห้อหลายรุ่นมาก ที่มีทั้งสเปคแรง หน้าจอใหญ่ และสามารถใช้งานได้อย่างไหลลื่นไม่มีติดขัด เหมาะสำหรับคนทำงาน และนักเรียนนักศึกษา ที่ต้องเรียนผ่านทางออนไลน์ก็ได้
ต้องยอมรับว่าในตอนนี้ การมีแท็บเล็ตไว้ใช้งาน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจำเป็นมาก สำหรับการใช้งานที่ไม่ว่าจะเป็น การเรียนออนไลน์ การทำงาน หรือการที่ต้องใช้เครื่องมือพกพาไปได้ทุกที่ และใช้งานได้มากกว่ามือถือ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และความสะดวกต่อการพกพา จึงทำให้แท็บเล็ตเป็นที่นิยมมากในกลุ่มวัยเรียน และวัยทำงาน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆก็ต้องมีการเชื่อมต่อที่ดีด้วย วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 10 แท็บเล็ตน่าใช้งาน มีทั้งสเปคที่แรง และทำงานได้อย่างไม่มีติดขัดในปี 2020 นี้ มาดูกันเลยว่ามีตัวไหน น่าสนใจบ้าง
10 แท็บเล็ตน่าใช้งาน ในปี 2020
ถึงแม้ว่าในปีนี้จะมีแท็บเล็ต ที่เปิดตัวออกมาหลายรุ่นก็จริง แต่บางรุ่นที่เปิดตัวไปตอนปลายปี 2019 ก็ยังคงยังเป็นแท็บเล็ตน่าใช้งานไม่ต่างกันเลย ด้วยความแรง และประสิทธิภาพการใช้งานของแต่ละรุ่นนั้น ก็ยังทำงานได้ดีอยู่ จึงบอกได้ว่ายังคงน่าใช้งานอยู่ในปีนี้ก็ได้ โดยเราได้เลือกมาอยู่ 4 แบรนด์ ได้แก่
ตารางเปรียบเทียบแท็บเล็ตแต่ละรุ่น
รุ่น\ข้อมูล | หน้าจอ | ชิปประมวลผล | RAM | หน่วยความจำ (ROM) | กล้องหลัง | กล้องหน้า | ราคา (เริ่มต้น)** |
iPad Pro | Liquid Retina 11 นิ้ว/12.9 นิ้ว | A12Z Bionic | 6GB | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB | 12MP+ 10MP | 7MP | 27,900 บาท |
iPad Gen 8 | Retina 10.2 นิ้ว | A12 Bionic | 3GB | 32GB/ 128GB | 8MP | 1.2MP | 10,900 บาท |
iPad Air 4 | Liquid Retina 10.9 นิ้ว | A14 Bionic | 4GB* | 64GB/ 256GB | 12MP | 7MP | 19,900 บาท |
iPad mini 5 | Retina 7.9 นิ้ว | A12 Bionic | 3GB | 64GB/ 256GB | 8MP | 7MP | 13,900 บาท |
Samsung Tab S6 | Super AMOLED 10.5 นิ้ว | Snapdragon 855 | 6/8GB | 128/ 256GB | 13MP+ 5MP | 8MP | 11,990 บาท |
Samsung Tab S7 | LTPS IPS LCD 11 นิ้ว | Snapdragon 865+ | 6GB | 128GB | 13MP+ 5MP | 8MP | 22,900 บาท |
Huawei MatePad | IPS-LCD 10.4 นิ้ว | Kirin 810 | 4GB | 64GB | 8MP | 8MP | 9,990 บาท |
Huawei MatePad Pro | LCD 10.8 นิ้ว | Kirin 990 5G | 6/8GB | 128GB/ 256 GB | 13MP | 8MP | 16,990 บาท |
Microsoft Surface Pro 7 | PixelSense 12.3 นิ้ว | Intel 10th Gen Core i3/i5/i7 | 4GB/ 8GB/ 16GB | 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB | 8MP | 5MP | 29,990 บาท |
Microsoft Surface Pro X | PixelSense 13 นิ้ว | Microsoft SQ1 | 8GB/ 16GB | 128GB/ 256GB/ 512GB | 10MP | 5MP | 34,990 บาท |
**เป็นราคาเริ่มต้นของรุ่นต่ำสุดในซีรีส์
1. iPad Pro
สำหรับ iPad Pro ที่จะมาแนะนำนั้น เป็นรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ในปี 2020 โดยอัพเกรดมาจากรุ่นในปี 2018 ซึ่งภายนอกนั้น ก็เลยยังดูเหมือนตัว 2018 อยู่ ทั้งดีไซน์และหน้าตา รวมไปถึงหน้าจอที่มีขอบบาง และมีลำโพงมากถึง 4 ตัว ส่วนกล้องหลังนั้นก็ได้เพิ่มมาเป็น Dual Camera หรือกล้องคู่ ที่มาพร้อมกับ LiDar Scanner และมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมใหม่อย่าง Magic Keyboard คีย์บอร์ดพร้อมแทร็กแพดราคาหลักหมื่น และรองรับ Apple Pencil 2 เหมือนกับรุ่นปี 2018
ในส่วนของหน้าจอรุ่นนี้ จะมีขนาดความกว้างให้เลือก 2 รุ่นก็คือ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว เป็นแบบ Liquid Retina ที่ให้ความคมชัด มีสีสันสมจริง มาพร้อมกับชิป A12Z ที่เป็นชิปอัพเกรดจาก A12 ตัวปกติ และ A12X ให้มีความเร็วมากยิ่งขึ้นในแง่ของ GPU และตัวประมวลผลกราฟิกให้มีถึง 8 Core ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ การเล่นเกม หรือใช้งานทางด้านกราฟิกหนักๆ อย่างการตัดต่อภาพ ตัดต่อวิดีโอ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมากๆ
กล้องของ iPad Pro จะมีสองเลนส์อย่างที่บอกเลย โดยแบ่งเป็นเลนส์ไวลด์ 12 ล้านพิกเซล และอัลตร้าไวลด์ 10 ล้านพิกเซล เกือบเทียบเท่า iPhone รุ่นสูงๆเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าการถ่ายรูปจะไม่ชัดเลย และกล้องหน้าให้มา 7 ล้านพิกเซล สามารถวิดีโอคอลเพื่อประชุม หรือเพื่อการเรียนก็ทำได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดไมโครโฟนให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย จึงเป็นแท็บเล็ตน่าใช้งานมาก ส่วนราคาของรุ่นนี้จะแบ่งได้หลายสเปค ดังนี้
ราคา iPad Pro 11 นิ้ว
- 128GB: ราคา 27,900 บาท (Wi-Fi), 32,900 บาท (Wi-Fi + Cellular)
- 256GB: ราคา 31,400 บาท (Wi-Fi), 36,400 บาท (Wi-Fi + Cellular)
- 512GB: ราคา 38,400 บาท (Wi-Fi), 43,400 บาท (Wi-Fi + Cellular)
- 1TB: ราคา 45,400 บาท (Wi-Fi), 50,400 บาท (Wi-Fi + Cellular)
ราคา iPad Pro 12.9 นิ้ว
- 128GB: ราคา 34,900 บาท (Wi-Fi), 39,900 บาท (Wi-Fi + Cellular)
- 256GB: ราคา 38,400 บาท (Wi-Fi), 43,400 บาท (Wi-Fi + Cellular)
- 512GB: ราคา 45,400 บาท (Wi-Fi), 50,400 บาท (Wi-Fi + Cellular)
- 1TB: ราคา 52,400 บาท (Wi-Fi), 57,400 บาท (Wi-Fi + Cellular)
2. iPad Gen 8
iPad Gen 8 นี้ เป็นรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ไปช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ที่ถึงแม้ว่า จะมีหน้าตาที่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก แต่ชิปที่เปลี่ยนใหม่สุดๆ ทำให้ตัวเครื่องของรุ่นนี้แรงขึ้นมากๆ ที่สำคัญคือราคาที่เท่าเดิม กับตัวก่อนหน้านี้ด้วย จึงทำให้ iPad Gen 8 น่าสนใจและเป็นแท็ปเล็ตน่าใช้งานเป็นอย่างมาก แต่รุ่นนี้จะยังรองรับแค่ Apple Pencil Gen 1 กับ Smart Keyboard
ในเรื่องของการดีไซน์ รุ่นนี้จะเหมือนตัวเก่าเลย คิดว่า Apple ก็คงไม่ได้อยากเปลี่ยนอะไรภายนอกเท่าไหร่นัก โดยหน้าจอจะเป็น Retina ที่ขนาดความกว้าง 10.2 นิ้ว แต่จะเน้นไปที่การทำงานภายในมากกว่า ที่ได้ใส่ชิปเป็น A12 Bionic ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในรุ่น iPhone Xs นั่นเอง และด้วยความแรงของชิป จึงทำให้เครื่องนี้ แรงกว่า Gen 7 ถึง 40% แถมการคำนวณกราฟิกยังแรงกว่าถึง 2 เท่า จึงทำให้การใช้งานของรุ่นนี้ดีขึ้นเยอะเลย เหมาะกับการใช้งานแบบทั่วไป จะใช้เรียนหรือทำงานก็ได้
กล้องหลังของ iPad Gen 8 นี้จะมีความละเอียดอยู่ 8 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับชุดเลนส์ 5 ชิ้นจึงทำให้การถ่ายภาพคมชัดมากขึ้น อีกทั้งยังถ่ายวิดีโอได้ถึงระดับ HD 30fps ด้วย และกล้องหน้าที่เป็น FaceTime HD ที่ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล จะเห็นได้ว่ารุ่นนี้ จะไม่ได้เน้นการใช้งานที่เป็นการประชุม หรือที่ต้องใช้กล้องหน้าเพื่อใช้งานเท่าไหร่ แต่จะเน้นสเปคเครื่องภายในให้มีความเร็วล้วนๆเลย ส่วนเรื่องราคาจะแบ่งได้ตามสเปครุ่นย่อยได้อีก ดังนี้
- iPad Gen 8 32 GB WiFi – 10,900 บาท
- iPad Gen 8 32 GB WiFi + Cellular – 15,400 บาท
- iPad Gen 8 128 GB WiFi – 13,900 บาท
- iPad Gen 8 128 GB WiFi + Cellular – 18,400 บาท
3. iPad Air 4
สำหรับ iPad Air 4 รุ่นนี้ก็ได้ออกมาพร้อมกับ iPad Gen8 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางเดือนเหมือนกัน ซึ่งความโหดของตัวนี้ก็คือสเปค กับภายนอกที่มีความคล้ายกับ iPad Pro สูง แต่จะต่างกันตรงที่ใช้ Touch ID ที่ย้ายไปอยู่ข้างเครื่อง (ของรุ่นโปรนั้นจะเป็น Face ID) มีขนาดหน้าจอที่บางลง และมีลำโพงสเตอริโอซ้ายขวาในแนวนอน ช่วยให้เสียงกระจายออกรอบทิศทาง และยังรองรับ USB Type-C อีกด้วย
ในส่วนของหน้าจอ รุ่นนี้จะใช้หน้าจอแบบ Liquid Retina ที่ขนาดความกว้าง 10.9 นิ้ว ซึ่งจะใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้านิดนึง มาพร้อมกับชิปประมวลผล A14 Bionic ที่เป็นเป็นชิปขนาด 5nm. ตัวแรกของโลกด้วย เพิ่มความเร็วแรง และมีน้ำหนักเบาให้กับเจ้าตัวนี้เป็นอย่างมาก เหมาะกับคนที่ต้องใช้เครื่องสเปคแรง และพกพาไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา และรุ่นนี้ก็รองรับ Apple Pencil Gen 2 กับ Smart Keyboard Folio รวมถึง Magic Keyboard ด้วย เรียกได้ว่าใช้อุปกรณ์เสริมของรุ่น iPad Pro ได้เลย
เรื่องของกล้องหลังในรุ่นนี้ จะเป็นกล้องตัวเดียวที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เป็นชุด 5 เลนส์ให้ความคมชัดมากยิ่งขึ้น และสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความชัดระดับ 4K กันเลยทีเดียว พร้อมกับกล้องหน้าที่มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ก็เทียบเท่ากับ iPhone เลยก็ว่าได้ จะใช้วิดีโอคอลเพื่อทำงาน หรือประชุมก็ได้หมด เรียกได้ว่าครบเครื่องของจริงสำหรับรุ่นนี้ ส่วนราคานั้นจะสามารถแบ่งได้ตามรุ่นย่อยได้ ดังนี้
- Wi-Fi 64GB : 19,900 บาท
- Wi-Fi 256GB : 24,400 บาท
- Cellular 64GB : 24,900 บาท
- Cellular 256GB : 29,400 บาท
4. iPad mini 5
iPad mini 5 รุ่นน้องเล็ก แต่ใจใหญ่ ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดตัวไปนานตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่การใช้งานของ iPad รุ่นเล็กนี้ก็ยังมีประสิทธิภาพ และยังใช้เพื่อทำงานได้ดีอยู่ โดยภายนอกนั้นจะยังคงเหมือนกับรุ่น mini ทุกรุ่นที่ออกมาเลย อาจจะมีต่างกันเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วคือเหมือนแหละ และยังคงใช้ปุ่ม Home เพื่อการปลดล็อคโดย Touch ID อยู่ และที่สำคัญรุ่นใหม่ที่เป็น Gen 5 นี้ก็ได้มีการรองรับ Apple Pencil Gen 1 ด้วย ทำให้เป็นแท็บเล็ตน่าใช้งานอยู่มากเลยทีเดียว
ส่วนของหน้าจอในรุ่นนี้ จะเป็นหน้าจอแบบ Retina Display มีขนาดความกว้าง 7.9 นิ้ว ถึงแม้ว่าน้องจะมีหน้าจอที่เล็กกว่ารุ่นอื่นๆ แต่ภาพและสีที่ออกมานั้น เทียบเท่าได้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รุ่นใหญ่ของ Apple ได้ทั้งนั้น จึงทำให้สีมีความสวยงาม สดใสและชัดเจนทุกมุมมอง แถมยังได้ชิปเป็น A12 อีก ก็ยิ่งช่วยให้การใช้งานของรุ่นนี้ เป็นไปอย่างไหลลื่นมากขึ้น จะใช้ทำงานหรือวาดรูป จดบันทึกด้วย Apple Penci ก็ทำได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการใช้งานที่ไม่ได้หนักเกินไป หรือจะซื้อไว้เพื่อการเรียนก็ทำได้ดีเหมือนกัน
กล้องหลังของ iPad mini 5 ก็ยังคงไม่ได้เน้นการถ่ายรูปเช่นเคย โดยจะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลช ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียดที่ 7 ล้านพิเซล ซึ่งอัพเกรดจากรุ่นเก่าให้มีความชัดมากขึ้น ใกล้เคียงกับกล้องหน้าของ iPhone รุ่นเทพๆได้เลย แต่ด้วยความที่รุ่นนี้ไม่ได้เน้นการถ่ายภาพมากนัก การใช้งานที่จำเป็นต้องใช้กล้องหลัง หรือกล้องหนเบ่อยๆ ก็อาจจะไม่เหมาะนัก ส่วนถ้าใช้เพื่อพกพาสะดวก และสเปคแรงๆ ก็เป็นรุ่นที่น่าใช้งานมาก และราคาของรุ่นนี้ก็มีแบ่งเป็นรุ่นย่อย ได้ดังนี้
- iPad mini 5 WiFi 64 GB ราคา 13,900 บาท
- iPad mini 5 WiFi 256 GB ราคา 18,900 บาท
- iPad mini 5 LTE+WiFi 64 GB ราคา 18,400 บาท
- iPad mini 5 LTE+WiFi 256 GB ราคา 23,400 บาท
5. Samsung Tab S6
มาถึงทางฝั่งค่าย Samsung กันบ้าง ที่เปิดตัวกันไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่การทำงานก็ยังเทพมากๆอยู่ ด้วยรูปแบบภายนอกที่ถึงแม้จะดูใหญ่อยู่บ้าง แต่น้ำหนักก็ไม่ได้เยอะมากมายเท่าไหร่นัก มีขอบที่บางลงกว่ารุ่นก่อน ส่วนวัสดุของตัวเครื่องก็เป็นโลหะแบบชิ้นเดียวด้วย แถมรุ่นนี้ยังเพิ่มความแรงด้วยชิประดับเรือธง จึงทำให้การใช้งานของรุ่นนี้เร็วแรงเป็นอย่างมาก และยังมี S Pen ที่สามารถชาร์จกับตัวเครื่องได้เลย พร้อมกับการใช้งานแบบ Air Actions ได้
ในส่วนของหน้าจอ รุ่นนี้จะใช้หน้าจอแบบ Super AMOLED ที่ขนาดความกว้าง 10.5 นิ้ว เรียกได้ว่าใหญ่มาก ใช้งานได้อย่างเต็มตา เต็มที่กันเลยทีเดียว และยังมีความละเอียดมากถึง 2K เลย และรองรับการแสดงผลแบบ HDR ด้วย จึงทำให้ภาพที่ออกมาสวยสดงดงามเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าดูหนังที่เป็น 4K ยิ่งสวยมากขึ้นด้วย ส่วนชิปของตัวนี้ก็ได้ชิปเทพเป็น Snapdragon 855 มาให้ซึ่งตอนนั้นก็คือ แรงที่สุดในปีนั้นแล้ว แม้จะข้ามปีมาแต่ก็ยังแรงใช้ได้อยู่ ไม่ได้ช้าจนหนืดอะไรแบบนั้น เหมาะกับผู้ที่ใช้งานทั่วไป ไปจนถึงระดับใช้งานสูงๆได้เลย สำหรับรุ่นนี้
กล้องหลังของรุ่นนี้ จะเป็นกล้องหลังแบบ 2 ตัว มีความละเอียดที่ 13 ล้านพิกเซล กับ เลนส์ไวลด์ 5 ล้านพิกเซล จะถ่ายรูปเก็บไว้ หรือนำมาน็ตก็ทำได้อย่างสะดวกสบาย แถมยังได้ภาพชัดอีก (ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย) ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ก็ถือว่าเยอะอยู่นะ จะใช้งานตอนประชุม หรืองานที่จำเป็นต้องพบปะลูกค้าในช่วงนี้ ก็เหมาะเป็นอย่างมาก ราคาในตอนนี้ของรุ่นนี้ก็ไม่ได้แรงมาก โดยมีราคาแบ่งตามรุ่นย่อย ดังนี้
- Galaxy Tab S6 Lite 64GB (Wi-Fi) ราคา 11,990 บาท
- Galaxy Tab S6 Lite 64GB (LTE) ราคา 14,990 บาท
- Galaxy Tab S6 Wifi 128GB ราคา 21,900 บาท
- Galaxy Tab S6 128GB ราคา 25,900 บาท
6. Samsung Tab S7
แท็บเล็ตน่าใช้งานอีกรุ่น ที่เพิ่งออกมาใหม่สดๆร้อนๆ กับ Galaxy Tab S7 Series แท็บเล็ตเรือธงรุ่นล่าสุดมีอยู่ 2 รุ่นใหญ่ๆ ก็คือ Galaxy Tab S7 และ Galaxy Tab S7+ โดยได้มีการอัพเกรดหน้าจอให้มีความใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเยอะอยู่พอสมควร เพื่อให้ผู้ใช้งานใช้ได้อย่างเต็มที่ จะบอกว่าเป็นโน๊ตบุ๊คเคลื่อนที่ยังได้เลย นอกจากนี้รูปแบบหน้าจอก็ยังต่างกันด้วย และยังคงใช้ S Pen ด้วยฟังก์ชันอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ทั้งสองรุ่นนี้จะมีหน้าจอที่ต่างกันคือ Samsung Tab S7 จะใช้จอแบบ LTPS LCD และตัว Samsung Tab S7+ จะใช้ Super AMOLED แทน และเป็นจอ 120Hz ด้วย ก็คือเหมือนอัพเกรดในรุ่นตัวเองไปอีกขั้น แต่โดยรวมแล้วก็ได้สีสันสดใส มีความคมชัด ใช้ได้ทั้งสองรุ่นเลย ส่วนขนาดหน้าจอ Samsung Tab S7 จะมีขนาด 11 นิ้ว และ Samsung Tab S7+ จะมีขนาด 12.4 นิ้ว มาพร้อมกับชิปตัวแรงอย่าง Snapdragon 865+ ที่ช่วยให้แท็บเล็ตรุ่นนี้แรงจัดเลย จะใช้งานทั่วไป หรือจะตัดต่อภาพ วิดีโอ ก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีสะดุด
ส่วนกล้องหลังยังคงมีสองกล้อง ที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กับอัลตร้าไวลด์ 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED ช่วยให้การถ่ายภาพดียิ่งขึ้น และกล้องหน้ามีความละเอียดอยู่ 8 ล้านพิกเซล เพื่อการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะถ่ายบันทึก ตัดต่อ หรือการเข้าประชุมโดยใช้วิดีโอคอล ก็ไม่ต้องกังวลว่าภาพจะไม่ชัดเลย โดยตัวนี้จะเหมาะกับคนวัยทำงาน หรือต้องการการใช้งานแบบโปรหน่อยๆ ส่วนราคาก็มีมาให้เลือกกันหลายรุ่นย่อย ดังนี้
- Galaxy Tab S7 WiFi 128GB ราคา 22,900 บาท
- Galaxy Tab S7 LTE 128GB ราคา 26,900 บาท
- Galaxy Tab S7+ LTE 128GB ราคา 33,900 บาท
- Galaxy Tab S7+ 5G 256GB ราคา 39,900 บาท
7. Huawei MatePad
มาถึงค่ายอย่าง Huawei กันบ้าง ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มี GMS หรือ Google Play Store ให้ใช้งานอีกต่อไปแล้ว แต่แท็บเล็ตของ Huawei ก็ยังมีความน่าสนใจ และใช้งานกับการเรียน หรือทำงานได้ดีอยู่นะ ด้วยหน้าจอที่มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และมีแบตเตอรี่ที่มีความจุเยอะ สามารถใช้งานได้เต็มวันแน่นอน ที่สำคัญคือราคาของรุ่นนี้ ที่มีราคาไม่ถึงหมื่น ก็สามารถซื้อมาใช้งานเพื่อการเรียน และทำงานได้แล้ว รองรับ Huawei M Pencil ด้วยนะ
โดยหน้าจอของรุ่นนี้จะเป็นแบบ IPS-LCD ที่มีความขนาดความกว้างที่ 10.4 นิ้ว ถือว่าใหญ่มากเหมือนกันนะ ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ภาพคมชัด สีสันสวย แถมตัวเครื่องรุ่นนี้ยังค่อนข้างบาง มีลำโพงให้มาถึง 4 ตัว และรองรับการชาร์จแบบ USB-C ส่วนชิปนั้นจะเป็นชิป Kirin 810 ซึ่งถ้าเอามาใช้งานแบบทั่วไป ก็สามารถใช้งานได้ดีเยี่ยมเลย แต่ถ้าจะเอามาตัดต่อหนักๆ หรือเล่นเกมแบบกินสเปค อันนี้อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก ถ้าเน้นทำงานก็ได้แน่นอน
ส่วนกล้องของตัวนี้ ทั้งสองกล้องคือกล้องหน้า และกล้องหลังจะมีความละเอียดเท่ากันคือ 8 ล้านพิกเซล ก็คือเอามาใช้ในระดับใช้งานทั่วไปจริงๆ นั่นแหละ จะประชุมหรือถ่ายภาพปกติก็ได้ หรือจะเอาไว้เรียนออนไลน์ก็ทำได้ดีเลย แต่ถ้าจะถ่ายแบบชัดมากๆ ก็อาจยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ โดยราคาจะมีอยู่ราคาเดียวคือ 9,990 บาทเท่านั้น
8. Huawei MatePad Pro
ขยับรุ่นกันขึ้นมาอีกนิด ซึ่งในรุ่น Pro นี้ก็ได้เพิ่มทั้งขนาดหน้าจอ เปลี่ยนแบบหน้าจอ เพิ่มชิปความแรง ที่ถึงแม้ตัวเครื่องจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่น้ำหนักของตัวเครื่องก็ไม่ได้หนักมาก รองรับ Huawei M Pencil ได้ จะใช้เพื่อทำงานหนัก หรือจะเอาไว้เรียนก็ทำได้ทุกอย่าง แต่สำหรับในรุ่นนี้ก็ไม่มี GMS เหมือนเดิมนะ แต่ใช้แค่ของ Huawei เองก็ใช้ได้เยอะแล้วเหมือนกันนะ
ส่วนหน้าจอของรุ่นนี้จะเป็นแบบ LCD ให้ความชัด และสีสันสวยงามอย่างแน่นอน และได้เพิ่มขนาดจากตัวปกติเป็น 10.8 นิ้วถือว่าใหญ่มาก และใช้งานได้อย่างเต็มที่เลย พร้อมกับการเสริมชิประดับเรือธงอย่าง Kirin 990 ที่มีอยู่ในรุ่น P40 ด้วย จึงมั่นใจได้เลยว่า จะใช้งานตัดต่อหนักแค่ไหน หรือจะเล่นเกมหนักๆ ก็ยังทำได้ดีมากๆเลยด้วย หรือจะดูวิดีโอที่มีความคมชัดสูงก็ดูได้ เหมาะกับการใช้งานแบบโปรมากขึ้น ทั้งคนทำงานและนักเรียน จะใช้งานตัดต่อภาพ หรือวิดีโอก็ได้
ส่วนกล้องหลังของรุ่นโปรนี้ ก็มีความละเอียดอยู่ที่ 13 ล้านพิกเซล ซึ่งเพิ่มมาจากตัวปกติค่อนข้างเยอะ ช่วยให้การถ่ายรูปเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำมาใช้งานได้ในทันทีเลย ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียดอยู่ 8 ล้านพิกเซล สามารถประชุมหรือวิดีโอคอลได้คมชัดปกติ ราคาของรุ่นนี้ก็แบ่งเป็นรุ่นย่อยได้อีก ดังนี้
- Huawei MatePad Pro Wi-Fi ราคา 16,990 บาท
- Huawei MatePad Pro 4G ราคา 19,990 บาท
- Huawei MatePad Pro 5G RAM 8GB + ROM 256GB ราคา 29,990 บาท
9. Microsoft Tablet Surface Pro7
มาถึงค่ายสุดท้ายกันบ้างที่เป็นแท็บเล็ตจากทาง Microsoft ซึ่งแน่นอนว่าต้องทำออกมาได้เทพอยู่แล้ว โดยรุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คในคราบแท็บเล็ตกันเลย ด้วยชิปที่แรงแบบคอมฯแล้ว ยังมีหน้าจอที่มีขนาดใหญ่สุดจัดมาก แต่ถึงจะใหญ่แค่ไหน น้ำหนักของตัวเครื่องก็สำคัญ รุ่นนี้น้ำหนักเริ่มต้นเพียง 775 กรัมเท่านั้น ก็อาจจะหนักกว่าของรุ่นในตลาดทั่วไปแหละ แต่ถ้าเทียบการใช้งานกันนี่ไม่เป็นรองใครแน่นอน
ซึ่งหน้าจอของ Microsoft Tablet Surface Pro7 นั้นจะใช้หน้าจอแบบ PixelSense ที่ให้ความคมชัดเสมือนเล่นโน๊ตบุ๊คยังไงยังงั้น และมีขนาดความกว้างมากถึง 12.3 นิ้วกันเลย ก็คือใหญ่มากวางกับคีย์บอร์ด และ Surface Pen แล้วอาจะมองไม่ออก นอกจากความใหญ่แล้ว ชิปที่ใส่มาก็แรงไม่น้อยเลย โดยใช้เป็น Intel 10th Gen Core ที่ต่างกันตามรุ่นแบ่งเป็น i3, i5 และ i7 แล้วแต่การใช้งานว่าอยากเอาไปใช้งานหนักแค่ไหน แต่แค่รุ่นเริ่มต้นก็ใช้งานทั่วไป หรือใช้การเรียนก็เทพแล้ว
มาถึงเรื่องกล้องกันบ้าง โดยกล้องหลังของตัวนี้จะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ซึ่งก็ดูไม่ได้มากนัก อาจไม่เหมาะกับการเอาไปถ่ายรูปเพื่อมาใช้งานจริงได้ แต่ถ้าเป็นการถ่ายจากเอกสาร หรือถ่ายภาพเพื่อนำมาแลคเชอร์ ก็พอจะทำได้อยู่เหมือนกัน หรือจะใช้วิดีโอคอลก็ได้ แต่คงไม่ได้ภาพที่ละเอียดมากนัก ส่วนราคาก็มีแย่งตามรุ่นย่อยได้ ดังนี้
- Microsoft Tablet Surface Pro 7 Intel i5/8GB/128GB ราคา 29,990 บาท
- Microsoft Tablet Surface Pro 7 Intel i5/8GB RAM/256GB ราคา 40,990 บาท
- Microsoft Tablet Surface Pro 7 Intel i7/16GB RAM/256GB ราคา 49,990 บาท
10. Microsoft Surface Pro X
ผลงานจาก Microsoft อีกหนึ่งรุ่น และเป็นรุ่นสุดท้ายที่เราจะมาแนะนำกันแล้วด้วย ซึ่งรุ่นนี้ก็ได้อัพเกรดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และการทำงานที่ดีกว่า จะบอกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตกึ่งแล็ปท็อประดับพรีเมียม ที่เอาไว้ใช้งานได้ทุกรูปแบบก็ว่าได้ ส่วนน้ำหนักของรุ่นนี้ก็ไม่ต่างจากรุ่น Pro 7 มากนัก เบากว่านิดนึงด้วย ถือว่าเป็นแท็บเล็ตน่าใช้งานมากในปี 2020 นี้ก็ว่าได้ แต่ราคาก็แรงตามไปด้วยนะ
สำหรับหน้าจอของตัวนี้ จะเป็นแบบ PixelSense เหมือนกันกับ Pro 7 แต่จะมีขนาดความกว้างที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 13 นิ้ว ก็เกือบๆเท่าโน๊ตบุ๊คเลยนะ แถมยังได้ชิปจาก Qualcomm คือ Microsoft SQ1 มากับ RAM 16 GB และระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ที่ช่วยให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เหนือกว่าการใช้งานทั่วไป จะโอนย้ายข้อมูลก็ง่าย จะใช้เพื่อตัดต่อภาพ หรือวิดีโอ หรือจะดูหนังทำได้หมด ทำได้ดีด้วย เหมาะกับการทำงานที่จำเป็นต้องใช้ความคล่องตัว และสเปคที่มีความแรงสูง จะใช้เรียนก็ได้เหมือนกันนะ
ส่วนเรื่องของกล้องหลังตัวนี้มีความละเอียดอยู่ 10 ล้านพิกเซล ก็ได้เพิ่มมาจากตัว Pro 7 หน่อย และกล้องหน้าเท่าเดิมคือ 5 ล้านพิกเซล ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นมา แต่การถ่ายและภาพที่ออกมานั้นก็ยังคงไม่ได้ชัดถึงขนาดเอามาใช้งานตัดต่ออะไรได้ แต่ถ้าถ่ายเพื่อเก็บแลคเชอร์ หรือบันทึกการทำงานก็พอจะทำได้อยู่ ส่วนกล้องหน้าก็ใช้วิดีโอคอลประชุมได้ปกติ ส่วนราคาของรุ่นนี้จะแบ่งเป็นรุ่นย่อยได้ ดังนี้
- Microsoft Surface Pro X RAM 8GB ROM 128GB ราคา 34,990 บาท
- Microsoft Surface Pro X RAM 8GB ROM 256GB ราคา 43,990 บาท
สรุป
ถึงแม้ว่าแท็บเล็คบางรุ่นนั้น อาจจะไม่ได้ฮิตหรือเป็นที่รู้จักมากนัก แต่ในด้านการใช้งานนั้น ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพและสามารถนำมาใช้งาน เพื่อการทำงานแบบปกติทั่วไป ไปจนถึงการใช้งานแบบโปร เพื่อใช้ทำงานเท่านั้นเลย หรือจะนำไปใช้เพื่อการเรียน สำหรับบางรุ่นก็มีความเหมาะสมอยู่เหมือนกัน ส่วนถ้าใครไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับการใช้งานแบบไหน เราก็จะสรุปเอาไว้ตรงนี้
ถ้าหากว่าต้องการใช้งานแท็บเล็ตแบบโปรที่ครบทุกเรื่อง ทั้งการทำงาน การเรียน และถ่ายรูป พร้อมกับสเปคเครื่องที่แรง ตัดต่อภาพและวิดีโอได้ดี และมีงบประมาณเยอะแนะนำให้ใช้ iPad Pro หรือ iPad Air 4 ไปเลย รับรองว่าได้ครบทุกอย่างแน่นอน
ส่วนถ้าอยากใช้รุ่นที่รองลงมาหน่อย ซึ่งก็มีสเปคภายในที่แรงอยู่แล้ว แต่อาจไม่แรงเท่าตัวบนๆ และเน้นการใช้งานแบบทั่วไป เหมาะกับใช้เรียนหรือทำงานทั่วไป และมีงบต่ำไปจนถึงกลางๆ แนะนำเป็น Huawei MatePad (ต้องไม่ติดเรื่อง GMS ด้วยนะ), Samsung Tab S6, iPad mini 5 และ iPad Gen 8 ที่มีสเปคที่แรงพอประมาณ ใช้งานทั่วไปได้ดีเลย
หรือถ้าอยากอัพสเปคขึ้นมาอีก ซึ่งมีความแรงเหมือนกัน ทั้งชิปและสเปคตัวเครื่องทั่วไป หน้าจอใหญ่ใช้งานสะดวก และสามารถตัดต่อภาพ วิดีโอได้เลย แต่ราคาก็อาจจะแรงหน่อย ต้องมีงบสูงแนะนำเป็นตัว Samsung Tab S7 และ Huawei MatePad Pro (ต้องไม่ติดเรื่อง GMS ด้วย)
สุดท้ายคือคนที่เน้นเอาไปใช้งานแบบจริงจัง ในรูปแบบของการใช้งานคอมพิวเตอร์ ไม่ได้นำมาใช้งานจิปาถะ หรืองานทั่วไป โดยตัวเครื่องมีสเปคแรงและใช้งานง่าย แถมได้หน้าจอที่ใหญ่เกินกว่าชาวบ้าน และที่สำคัญคือต้องมีงบสูงมากๆด้วย แนะนำเป็น Microsoft Tablet Surface Pro7 และ Microsoft Surface Pro X
แล้วถ้ามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจอีกเราก็จะนำมาฝาก หรือมาแนะนำกันอีกเรื่อยๆ เลยนะครับ