หยุดยาวนี้ดูอะไรดี? แนะนำ 10 หนัง/ซีรีส์บน Netflix, Disney+ น่าดูในช่วงวันหยุดติดกันหลายวันปี 2022
ใกล้จะถึงวันหยุดยาวอีกครั้งในปี 2022 นี้ สำหรับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทยของเรานั่นเอง เชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้หยุดยาวในปีนี้ อาจจะไม่ได้ออกไปเที่ยว หรือว่าออกไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆ กันมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้หลายคน จำเป็นต้องหยุดอยู่แต่ที่บ้าน ไม่สามารถออกไปยังที่เสี่ยงๆ ได้ แต่ว่ามีวันหยุดเยอะทั้งทีจะให้นอนไถเฟซบุ๊ค หรือว่าไถโซเชียลมีเดียอย่างเดียวก็คงจะเบื่อแย่ สิ่งที่จะช่วยเยียวยาความเบื่อได้ก็ต้องเป็นการดูหนัง หรือว่าดูซีรีส์ที่ไม่มีโอกาสได้ดูมานาน แถมยังมีเรื่องใหม่ๆ ออกมาอีกเพียบทั้งบน Netflix (ดูหนังน่าดู 50 เรื่องที่นี่ และ ดูซีรีส์เกาหลีน่าดูที่นี่) หรือ Disney+ Hotstar (ดูหนังน่าดู 25 เรื่องที่นี่) ที่สำคัญก็คือไม่ต้องกลัวว่าไม่ได้ออกไปไหน แล้วจะต้องดูหนังเหงาๆ อยู่คนเดียว เพราะเราสามารถเปิดดูหนังหรือซีรีส์ไปพร้อมกับเพื่อนได้ง่ายๆ ด้วย Teleparty จะอยู่ไกลแค่ไหนก็ยังดูได้พร้อมๆ กัน (ดูวิธีใช้งานที่นี่) เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาแนะนำ 10 หนังและซีรีส์บน Netflix, Disney+ Hotstar ที่น่าดูในช่วงวันหยุดติดกันหลายวันนี้ดูอะไรดีในปี 2022
หยุดยาวนี้ดูอะไรดี? แนะนำ 10 หนัง/ซีรีส์บน Netflix, Disney+ น่าดูในปี 2022
สำหรับคนที่อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้มีภารกิจจะออกไปไหนนอกบ้านในช่วงวันหยุดยาว อย่างวันสงกรานต์ในปีนี้ และกำลังมองหาหนังหรือว่าซีรีส์จาก Netflix, Disney+ Hotstar แต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะดูอะไรดีและเรื่องไหนดี เพราะช่วงนี้ก็มีเนื้อหาที่เป็นหนังและซีรีส์เปิดตัวใหม่ๆ เข้ามาเยอะมาก ที่สำคัญก็คือเรื่องของเวลา ที่เราจะต้องจัดการให้ดีเลยแหละ ว่าถ้าหากดูหนังหรือซีรีส์เรื่องนี้ไปแล้ว จะสามารถดูจบในวันหรือว่าในช่วงวันหยุดนี้หรือไม่ ถ้าดูไม่จบแล้วขาดตอนไปก็เสียดายแย่ เราเลยจะทำเป็นตารางเหมือนตารางสอนสมัยเรียนไว้ให้เลย ว่าในวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 13-17 เมษายน 2565 ปีนี้ วันไหนดูเรื่องไหนมีเวลาในการดูกี่ชั่วโมง และจะดูเรื่องไหนจบทันได้บ้าง ถ้าดูไม่จบก็ทบวันกันเอาเองตามเวลาได้เลย โดยจะแนะนำไว้ให้ทั้งหมด 10 เรื่องรวมๆ กันไป จะมีเรื่องไหนน่าสนใจบ้างไปดูกันเลย
วันที่\ เวลา | 08.00-10.00 น. | 11.00-13.00 น. | 14.00-16.00 น. | 17.00-19.00 น. | 20.00-22.00 น. | 22.00-24.00 น. |
13 ม.ย. 65 | Business Proposal | Business Proposal | Business Proposal | Business Proposal | Business Proposal | Business Proposal |
14 ม.ย. 65 | Twenty Five, Twenty One | Twenty Five, Twenty One | Twenty Five, Twenty One | Twenty Five, Twenty One | Twenty Five, Twenty One | Twenty Five, Twenty One |
15 ม.ย. 65 | Twenty Five, Twenty One | Twenty Five, Twenty One | Yaksha | The Adam Project | Metal Lords | Free Guy |
16 ม.ย. 65 | Forecasting Love and Weather | Forecasting Love and Weather | Forecasting Love and Weather | Forecasting Love and Weather | Forecasting Love and Weather | Forecasting Love and Weather |
17 ม.ย. 65 | Moon Knight | Moon Knight | Turning Red | Kotaro Lives Alone | Kotaro Lives Alone | Kotaro Lives Alone |
**ข้อมูลเวลาในแต่ละวัน เป็นเพียงไกด์ตัวอย่างเพื่อบอกเวลาของหนัง และซีรีส์แต่ละเรื่องเท่านั้น ดูจบไม่ทันหรือจะข้ามเวลาไปช่วงไหนก็ได้ตามเวลาที่สะดวกของเราเลย หรือจะดูเรื่องอื่นนอกจากที่แนะนำไปก็ได้**
1. Business Proposal: นัดบอดวุ่น ลุ้นรักท่านประธาน (กดดูซีรีส์ที่นี่)
เริ่มต้นกันด้วยซีรีส์เกาหลีเรื่องแรกบน Netflix สำหรับคนที่ไม่รู้จะดูอะไรดีในช่วงวันหยุดยาวนี้ ที่เรื่องนี้กำลังได้รับความนิยมสูงมาก เรียกได้ว่าห้ามพลาดเลยแหละ โดยเรื่องนี้ได้พูดถึงสาวโสดที่ชื่อว่า ชินฮาริ พนักงานออฟฟิศที่ผิดหัวงกับการแอบหลงรักคนที่มีแฟนอยู่แล้ว เธอจึงได้ตัดใจและหันไปปรึกษา จินยองซอ เพื่อสาวไฮโซที่บอกให้เธอลองไปนัดบอดและลองออกเดทแทน เธอจึงต้องจำใจลองไปนัดบอดตามคำของเพื่อน และคิดว่าจะปฏเสธคู่เดทหลังจากที่ได้พบกัน แต่เมื่อเธอไปเจอกับคู่นัดบอดก็ต้องพบว่าที่แท้เป็น คังแทมู ซีอีโอหนุ่มนักธุรกิจเจ้านายของเธอเอง ที่ได้รับภารกิจนัดบอดจากปู่เพื่อหาคนที่เหมาะสมจะแต่งงานด้วยเหมือนกัน จึงกลายเป็นเรื่องราววุ่นๆ ระหว่างพนักงานสาวกับเจ้านายที่ดันมานัดบอดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่สำคัญคือคังแทมูก็ดันประกาศว่าจะแต่งงานกันเธอไปแล้วซะด้วย
- เวลา: 12 ตอน ตอนละ 60 นาที (รวมแล้ว 12 ชม.)
2. Twenty Five, Twenty One: ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด (กดดูซีรีส์ที่นี่)
ซีรีส์ของทางฝั่งเกาหลีอีกหนึ่งเรื่องที่พลาดไม่ได้เลยบน Netflix เรื่องนี้สำหรับคนที่ไม่รู้จะดูอะไรดีช่วงวันหยุด แนะนำว่าเรื่องนี้สนุกเนื้อหากินใจแน่นอน ดูได้ทั้งวันเลยทีเดียว โดยเรื่องราวของเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงยุค 90 ช่วงปี 1998 ที่เกิดเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้ นาฮีโด สาวผู้ที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักกีฬาฟันดาบระดับประเทศ ถึงแม้ว่าทีมฟันดาบของเธอจะถูกยุบหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ก็ตาม ในขณะที่ แพคอีจิน ชายหนุ่มที่เธอได้พบเจอและเริ่มทำให้ชีวิตของเธอดูวุ่นวายมากขึ้นไปอีก ซึ่งแพคอีจินนั้นก็มีปัญหาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ทำให้ครอบครัวต้องแยกย้ายไปทำงาน เพื่อเก็บเงินมาใช้หนี้และจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง โดยทั้งสองได้คอยให้กำลังใจกัน หลังจากที่เจอกันครั้งแรกเมื่ออายุ 22 และ 18 ปี จนมาถึงความสัมพันธ์ที่มากขึ้นเมื่ออายุ 25 และ 21 ปีนั่นเอง เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ยาวมากๆ ดูวันเดียวจบได้ แต่สองวันจะดีกว่า
- เวลา: 16 ตอน เฉลี่ยตอนละประมาณ 75 นาที (รวมแล้ว 20 ชม.)
3. Forecasting Love and Weather: พยากรณ์วันนี้ มีรักบางแห่ง (กดดูซีรีส์ที่นี่)
ยังคงต่อเนื่องกันด้วยซีรีส์เกาหลีบน Netflix สำหรับคนที่ไม่รู้จะดูอะไรดี เพราะว่าเนื้อหาซีรีส์เกาหลีบน Netflix นั้นเยอะมากและน่าดูหลายเรื่องจริงๆ โดยเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูได้เรื่อยๆ แบบสบายๆ ไม่เครียดแถมยังสนุกปนตลกอีกด้วย เรื่องราวของซีรีส์เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในกรมอุตุนิยมวิทยาของเกาหลีที่มี จินฮาคยอง สาวนักพยากรณ์ที่ทั้งฉลาด เก่ง มีความเป็นระเบียบ และที่สำคัญคือเธอแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกไปสิ้นเชิง และไม่คิดว่าจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับเพื่อนร่วมงานทั้งนั้น ถึงนาดที่ว่าจะไม่มีความรักในที่ทำงานเลยแหละ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ อีชีอู ชายหนุ่มที่มีไอคิวสูง และมีความมุ่งมั่นใจการทำงานสูงเช่นกัน แต่เธอก็ดันเผลอใจไปให้เขาซะงั้น จึงเกิดเป็นเรื่องราวโรแมนติกปนคอมเมดี้ที่ทั้งสนุกและได้เสียงหัวเราะไปด้วย ติดตามชมกันได้เลยยาวๆ วันเดียวจบแน่นอน
- เวลา: 16 ตอน เฉลี่ยตอนละประมาณ 65 นาที (รวมแล้ว 17 ชม.)
4. The Adam Project: ย้อนเวลาหาอดัม (กดดูหนังที่นี่)
มาถึงเรื่องราวเนื้อหาที่เป็นภาพยนตร์กันบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่สร้างโดย Netflix เองและเหมาะกับคนที่ไม่รู้จะดูอะไรดีด้วย ใครที่เป็นแฟนๆ หนังของมาเวลบอกเลยว่านักแสดงหลักแทบจะยกมาทุกคนเลยก็ว่าได้ โดยเรื่องราวได้เกิดขึ้นกับ อดัม นักบินจากโลกในปี 2050 ที่ได้ขโมยยานและติดไทม์แมชชีนมาเพื่อที่จะย้อนไปยังปี 2018 เพื่อตามหาคนรักของเขา แต่ว่าดันผิดพลาดไปตกในปี 2022 แทน ซึ่งที่นี่ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ไหนไกล แต่เป็นช่วงเวลาของตัวเขาเองในวัย 12 ขวบที่เพิ่งจะสูญเสียพ่อตัวเองไป เหลือแต่แม่เลี้ยงเดี่ยวเพียงคนเดียว หลังจากที่ทั้งสองรู้จักกันมากขึ้นจึงได้เริ่มทำภารกิจย้อนกลับไปในปี 2018 อีกครั้ง และเดินทางเพื่อไปตามหาทั้งคนรักและพ่อของเขาเองอกีครั้งด้วยเช่นกัน เรื่องนี้มีเนื้อหาที่สนุกน่าติดตามใช้ได้เลย และยังมีเรื่องราวทั้งความตลก และซึ้งปนกันไปด้วยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทุกๆ คน ใครที่ยังไม่ได้ดูแนะนำเลย
- เวลา: 1 ชม. 46 นาที
5. Moon Knight (กดดูซีรีส์ที่นี่)
ข้ามมาที่ฝั่งของ Disney+ Hotstar กันบ้างกับซีรีส์ในจักรวาลมาเวลที่ได้เปิดตัวฮีโร่ตัวใหม่สายดาร์ก ที่ถือว่าเปิดตัวออกมาได้สนุกใช้ได้เลยทีเดียว โดยเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ สตีเวน แกรนท์ ชายผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านอียิปต์โบราณ แต่ว่าเขานั้นมีอาชีพเป็นเพียงพนักงานในร้านขายของธรรมดา แต่เขานั้นมีอาการที่ต่างจากคนทั่วไป ซึ่งตัวเขาก็รู้ตัวเองดีว่าเหมือนมีใครอีกคนอยู่ในตัวเขาด้วย ที่สำคัญคือเขาแทบจะแยกไม่ออกด้วยว่าเขานั้นตื่นหรือฝันอยู่ เพราะบางครั้งที่ตื่นเขาก็จะไปอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก และยังเหมือนมีใครคอยบงการอยู่ในหัวเขาอีกด้วย ซึ่งอีกร่างที่แอบซ่อนอยู่นั่นก็คือ มาร์ค สเปกเตอร์ ทหารรับจ้างผู้ที่มีความเก่งกาจทางด้านการต่อสู้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีแค่ตัวตนเดียวที่อยู่ในตัวเขาด้วย ในตอนนี้ก็ได้ปล่อยออกมาแค่ 2 ตอน และกำลังจะมีตอนที่ 3 หลังจากเผยแพร่บทความนี้ ใครไม่รู้จะดูอะไรดีและเป็นแฟนมาเวลห้ามพลาดเด็ดขาด
- เวลา: 6 ตอน (ตอน 3 กำลังมา) เฉลี่ยตอนละประมาณ 50 นาที (รวมตอนใหม่แล้ว 2.5 ชม.)
6. Turning Red: เขินแรงแดงเป็นแพนด้า (กดดูหนังที่นี่)
หนังอนิเมชันจากดิสนีย์และพิกซาร์ที่ดูได้แบบเพลินๆ เหมาะสำหรับยามว่างและไม่รู้จะดูอะไรดี ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ทำออกมาในรูปแบบของพิกซาร์เหมือนเดิม ที่ได้ทั้งความซึ้งและเนื้อหาเรื่องราวที่สนุกแฝงไปด้วยข้อคิด ว่าด้วยเรื่องราวของ เหมยลี่ เด็กสาวอายุ 13 ปีลูกสาวคนเดียวของครอบครัวคนจีน แต่มาอยู่ในเมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา โดยตระกูลของเธอมีหน้าที่ในการดูแลศาลเจ้าประจำตระกูล ที่แม่ของเธออย่าง หมิง ที่คอยบอกให้เธออยู่แต่ในกรอบ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเป็นแพนด้าตัวโตสีแดง ที่จะเปลี่ยนร่างเมื่อเธอตื่นเต้น เมื่อเธอรู้ความจริงว่าครอบครัวตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และจะไม่สามารถคืนร่างได้หากวันที่ดวงจันทร์สีเลือดมาถึง แต่ก็ยังมีความวุ่นวายของช่วงชีวิตวัยรุ่น เมื่อวงดนตรีที่เธอชอบจะมาแสดงใกล้ๆ บ้าน เธอจึงต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ โดยมีเพื่อนๆ ร่วมก๊วนเป็นตัวช่วยอยู่ข้างๆ
เวลา: 1 ชม. 35 นาที
7. Kotaro Lives Alone: โคทาโร่อยู่คนเดียว (กดดูซีรีส์ที่นี่)
ไหนๆ ก็มาทางอนิเมชันแล้ว ก็ขอต่อเนื่องกันด้วยอนิเมชันจากญี่ปุ่นบน Netflix เรื่องนี้ที่ถูกพูดถึงกันพอสมควร ถึงเนื้อหาที่ดูเหมือนจะเป็นการ์ตูนอนิเมชันปกติทั่วไป แต่เมื่อได้ดูแล้วก็ต้องพูดตามๆ กันว่าซึ้งเกินคาด แถมยังมีเนื้อหาที่น่าติดตามจนต้องดูจนจบกันไปเลย เรื่องราวของเรื่องเกิดขึ้นกับ โคทาโร่ เด็กชายวัย 4 ขวบที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ เขาจึงได้ออกมาเช่าห้องอยู่คนเดียว และได้เริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนข้างห้องที่มีอยู่หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นนักวาดการ์ตูน ลุงหน้าโหด และสาวบาร์ ซึ่งนอกจากคนหลักๆ ในที่อพาร์ตเมนต์นี้ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเขาด้วย และเรื่องราวก็จะค่อยๆ เฉลยออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับโคทาโร่ และทำไมถึงต้องออกมาอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าเนื้อหาที่ดูบางตอนจะมีความสนุกปนตลกบ้าง แต่ก็ให้ข้อคิดกับเรื่องราวซึ้งๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้มีเป็นแบบซีรีส์ด้วย แต่ที่คนพูดถึงเยอะๆ จะเป็นแบบอนิเมะมากกว่า
- เวลา: 10 ตอน ตอนละประมาณ 30 นาที (รวมแล้ว 5 ชม.)
8. Free Guy: ขอสักทีพี่จะเป็นฮีโร่ (กดดูหนังที่นี่)
หนังที่ดูแล้วแก้เบื่อหรือดูได้เพลินๆ บน Disney+ แบบไม่ต้องคิดอะไรมากสำหรับคนที่ไม่รู้จะดูอะไรดีต้องเรื่องนี้เลย ที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางถึงความกวนตั้งแต่ตัวอย่างหนัง หรือว่าโปสเตอร์ที่ทำตามแบบเกมดัง รวมไปถึงข่าวนักแสดงรับเชิญที่รวมมาอย่างคับคั่ง ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะดูซับซ้อนเล็กน้อย แต่ก็สนุกและมีความตลกจนจบทั้งเรื่อง เรื่องราวของ กาย ที่เป็นหนุ่มธนาคารอาศัยอยู่ในโลกของเกม Free City และได้รับบทซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด จนกระทั่งมีผู้เล่นเกมที่ชื่อ โมโลทอฟเกิร์ล หรือว่ามิลลี่ (ในชีวิตจริง) ที่ได้ก้าวเข้ามาเล่นและกำลังหาหลักฐานสำคัญไปฟ้องคนสร้างเกมนี้ ที่เธอนั้นถูกก็อปโค้ดไป เมื่อกายรู้เรื่องนี้จึงอยากเปลี่ยนใจจากบทเดิมๆ และอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้าง จึงได้ออกจากบทเดิมๆ และมาช่วยเหลือมิลลี่แทน ก่อนที่ตัวเกมจะถูกปิดเซิฟเวอร์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องเข้าไปติดตามชมกัน
เวลา: 1 ชม. 54 นาที
9. Yaksha: ปฏิบัติการยักษ์ล้มยักษ์ (กดดูหนังที่นี่)
หนังที่เพิ่งเข้ามาใหม่ล่าสุดบน Netflix ที่เป็นหนังเกาหลีเกี่ยวกับสายลับและมีเนื้อหาแอ็คชันลุ้นระทึก เรื่องนี้ได้พูดถึงเรื่องราวของ คังอิน ที่เป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการลับของ NIS ในประเทศจีน และเป็นคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เขาจึงได้ฉายาว่า ยักษ์ (หรือ Yacha ในภาษาเกาหลี) ในขณะที่ ฮันจีฮุน อัยการสำนักงานเขตในกรุงโซล ที่มีความเที่ยงตรงจนเรียกได้ว่าทำตามกฎหมายในทุกๆ เรื่อง จนกระทั่งเขาต้องไปทำงานอยู่ที่เสิ่นหยาง ในประเทศจีนในฐานะสายลับ และทำให้เขาต้องเข้าไปร่วมมือกับคังอิน เพื่อตามหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่หายตัวไป โดยที่ทั้งสองนั้นมีนิสัยต่างกันสุดขั้ว เขาจะต้องสืบเรื่องนี้ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายที่มากขึ้นด้วย เรื่องนี้ถือว่าดูได้สนุกพอสมควร ถ้าไม่รู้จะดูอะไรดี และไม่ได้คิดเยอะว่าจะต้องดีเยี่ยมมากนัก
เวลา: 2 ชม. 5 นาที
10. Metal Lords: เมทัลลอร์ด (กดดูหนังที่นี่)
ขอปิดท้ายกันด้วยหนังใหม่จาก Netflix อีกเช่นกันที่สามารถดูได้แบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เหมาะกับการดูยามว่างและไม่รู้จะดูอะไรดี เพื่อผ่อนคลายอย่างแท้จริง โดยเรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะเน้นไปที่การเล่นดนตรีเป็นหลัก แต่ก็มีการพูดถึงเรื่องราวของชีวิตช่วงวัยรุ่นแบบ Coming of Age ได้เป็นอย่างดีทีเดียว โดยเรื่องนี้ได้พูดถึง เควิน กับ ฮันเตอร์ สองหนุ่มวัยรุ่นม.ปลาย ที่ได้ก่อตั้งวงดนตรีแนวเมทัลขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดีมากนัก เนื่องจากทั้งโรงเรียนก็มีแค่พวกเขาสองคนที่สนใจดนตรีแนวนี้ และเล่นได้เพียงกลองกับกีตาร์เท่านั้น ยังขาดมือเบสไปอีกคน จะมีก็เพียง เอมิลี่ สาวที่สามารถเล่นเชลโล่ได้ แต่ก็แน่นอนว่าทั้งหมดจะต้องหาความเข้ากันให้ได้ก่อน เพราะแต่ละคนก็ยังจูนกันไม่ติด ทั้งสามจึงต้องฝึกและร่วมมือกันเพื่อขึ้นเวที Battle of the Bands ให้ได้ เรื่องนี้ใครที่ไม่ชอบเพลงแนวนี้ก็ดูได้แบบสนุกๆ เลย เพราะเนื้อหาทำออกมาได้ดีอยู่แล้ว
เวลา: 1 ชม. 38 นาที
แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นหนังและซีรีส์ที่น่าดูบน Netflix หรือ Disney+ Hotstar ทั้ง 10 เรื่องที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้ สำหรับคนที่อยู่บ้านว่างๆ และไม่รู้จะดูอะไรดี โดยแต่ละเรื่องนั้นเราได้เลือกมาจากความนิยม และกำลังฮิตอยู่ในตอนนี้ ซึ่งความยาวของแต่ละเรื่องส่วนใหญ่แล้วจะหนักไปซีรีส์เกาหลี ที่มีตอนเยอะและใช้เวลาในการดูค่อนข้างเยอะทีเดียว เรียกได้ว่าหมดทั้งวันก็อาจจะดูไม่จบด้วย ส่วนตารางตัวอย่างที่เราจัดวันกับการดูหนังและซีรีส์ไว้ให้นั้น ใครมีเวลาว่างช่วงเวลาและวันไหน ก็สามารถเลือกดูได้ตามช่วงเวลาตัวอย่างที่เราบอกไว้ได้เลย อย่างเช่นใครที่ว่างวันที่ 13 เต็มวันก็เลือกดูซีรีส์ยาวๆ ทั้งวันได้ แต่ถ้าวันไหนที่ว่างแค่บางช่วงเวลา ก็ลองหยิบยกหนังตามช่วงเวลาตัวอย่างแต่ละเรื่อง ที่เราได้แนะนำไว้ก็ได้ หรือถ้าไม่รู้จะดูอะไรดีและอยากดูเรื่องอื่นๆ แนวอื่นนอกจากนี้ ก็สามารถเลือกดูจากบทความที่เกี่ยวข้องด้านล่างได้เลย แล้วถ้ามีเรื่องไหนน่าสนใจอีก เราก็จะนำมาฝากกันอีกเรื่อยๆ เลยนะครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- แนะนำ 10 หนังจีน Netflix พากย์ไทยในปี 2022 หนังจีนกำลังภายในต่อสู้บู๊ๆ มีเรื่องไหนน่าดูบ้าง
- แนะนำ 50 หนัง Netflix 2022 ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด! มีหนัง Netflix น่าดูเรื่องไหนบ้างในปีนี้
- แนะนำ 10 หนัง Netflix พากย์ไทยน่าดูในปี 2565 ดูหนังได้สนุกๆ แบบไม่ต้องอ่านซับ ไม่ต้องมองจอก็รู้เรื่อง
- 40 ซีรี่ย์เกาหลี Netflix 2022 แนะนำล่าสุด มีครบทุกแนวทั้งสืบสวน ย้อนยุค และอีกมากมายที่ห้ามพลาด!
- รวม 20 หนังเอาชีวิตรอด หนังแนวเอาชีวิตรอดจากที่ต่างๆ เรื่องไหนน่าดูบ้างบน Netflix ปี 2021
- 20 อนิเมะต่อสู้พระเอกเก่ง การ์ตูนต่อสู้น่าดูที่มีเนื้อหาสนุกๆ เรื่องไหนดีบน Netflix และที่อื่นในปี 2021
- แนะนำ 26 หนังซอมบี้เกาหลี ฝรั่ง บน Netflix และที่อื่นๆ หนังซอมบี้สนุกๆ ที่ไม่ควรพลาด!