LG เองก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ออกแบบสมาร์ทโฟนที่เน้นผสมผสานทั้งรูปแบบการใช้งานที่ดีและหน้าตาเครื่องที่สวยงาม ดังที่จะเห็นได้จากเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง?LG G3?สมาร์ทโฟนที่มีคอนเซ็ปท์ว่า “Simple is the New Smart”?ซึ่งหลายๆ คนคงได้ทราบไปพอสมควรแล้วว่า LG G3 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่มีการออกแบบแหวกแนวไปจากรุ่นอื่นในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ด้วยการย้ายปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงไปไว้ด้านหลังเครื่อง (Rear Key) เช่นเดียวกับเรือธงรุ่นปี 2013 อย่าง LG G2
สำหรับใครที่งบไม่ถึง หรือไม่ได้อยากมือถือหน้าจอใหญ่ขนาด LG G3 หรือแม้แต่ LG G2 เอง แต่ยังอยากได้ความเป็น LG รวมถึงปุ่ม Rear Key อยู่ ก็คงต้องมองที่เจ้านี่เลยครับ LG G2 Mini และทางทีมงาน Specphone ก็ไม่พลาดที่จะนำ LG G2 Mini มารีวิวให้ได้ชมกัน แต่ก่อนที่จะพบกับรีวิว LG G2 Mini เรามาดูสเปคคร่าวๆ ของ LG G2 Mini กันก่อนดีกว่า
สเปค LG G2 Mini
- หน้าจอ 4.7 นิ้วแบบ IPS LCD ความละเอียด qHD (960×540) ความหนาแน่น?235 ppi
- CPU Qualcomm Snapdragon 400 (MSM8226) Quad Core ความเร็ว 1.2 GHz
- GPU Adreno 305
- Ram 1 GB
- หน่วยความจำภายใน 8 GB เพิ่ม microSD ได้ถึง 32GB
- ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 KitKat
- กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล BSI พร้อมแฟลช
- กล้องหน้าความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 2,440 mAh
- สเปค LG G2 Mini แบบเต็มๆ
- ราคา 9,900 บาท
Design
แวบแรกที่ได้สัมผัส LG G2 Mini คือรู้สึกว่ามันเป็นสมาร์ทโฟนที่จับได้ถนัดมือเอามากๆ ด้วยขนาดหน้าจอที่กำลังพอดี 4.7 นิ้ว และความรู้สึกที่สองคือ นี่มัน LG G2 โดนไฟฉายย่อส่วนชัดๆ (ก็แหงหล่ะ มันชื่อ LG G2 Mini นี่หน่า) แต่ด้วยหน้าจอและขนาดตัวที่พอดีมือของ LG G2 Mini ทำให้เราสามารถใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายๆ จัดเป็นมือถือที่มีความคล่องตัวดีทีเดียว รวมถึงน้ำหนักเบาอีกต่างหาก
ด้านหน้าของ?LG G2 Mini?จุดเด่นที่สุดคือหน้าจอที่มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับบอดี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะขอบจอบางเฉียบ เช่นเดียวกับ LG G2 (แต่ยังบางไม่ถึงขั้น LG G3 นะครับ) ส่วนประกอบอื่นๆ อาทิเช่น ลำโพงสนทนา และกล้องหน้าจะอยู่ทางด้านบน ส่วนด้านล่างจะมีแค่เพียงโลโก้ LG?ส่วนปุ่มกดสั่งงานต่างๆ ก็ไม่มีครับ เพราะใช้ปุ่มแบบซอฟต์แวร์ของ Android เองทั้งหมด (Soft Key)
หันมาดูด้านหลังของ LG G2 กันบ้าง ส่วนที่เด่นสุดก็หนีไม่พ้นแผงปุ่มด้านหลังที่มีชื่อว่า Rear Key ซึ่งอยู่ใต้กล้องถ่ายรูป โดยไล่ลงมาตามลำดับก็จะเป็นปุ่มเพิ่มเสียง ถ้ากดค้างไว้ขณะล็อคหน้าจออยู่ก็จะเป็นการเปิดแอพ Memo สำหรับจดบันทึก,?ปุ่ม Power ใช้สำหรับเปิด ปิด ล็อคหน้าจอเครื่องตามปกติ โดยที่ขอบปุ่มจะมีไฟ LED แสดง Notification คร่าวๆ อยู่ด้วย,?ปุ่มลดเสียง ถ้ากดค้างไว้ขณะล็อคหน้าจออยู่ ก็จะเป็นการเปิดใช้งานกล้องถ่ายรูป ทั้งยังสามารถใช้งานเป็นปุ่มชัตเตอร์สำหรับถ่ายรูปได้?ถ้าสังเกตดีๆ ตรงปุ่ม Power จะมีลักษณะนูนขึ้นมาเล็กน้อย นอกจากจะช่วยให้เราสามารถคลำหาตำแหน่งปุ่มได้ง่ายแล้ว ยังเป็นการยกปุ่ม Power ไม่ให้แตะพื้นโดยตรงเพื่อป้องกันการกดแบบไม่ตั้งใจอีกด้วย ส่วนถ้าใครต้องการจะถ่ายภาพหน้าจอ ก็คงลำบากเล็กน้อย เพราะการถ่ายภาพหน้าจอตามปกติจะใช้การกดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียงค้างไว้ แต่ก็มีอีกหนึ่งทางเลือกคือการใช้ Quick Memo ในการจับภาพหน้าจอ นอกจากปุ่ม Rear Key แล้วบริเวณด้านหลังของ LG G2 Mini จะมีกล้องหลังความละเอียด 8 MP
ปุ่ม Rear Key ยังคงสร้างความประทับใจได้เสมอ
วัสดุฝาหลังของ LG G2 Mini จะใช้เป็นพลาสติกที่มี Texture ขรุขระ ข้อดีของมันคือทำให้จับตัวเครื่องได้ถนัดมือมากขึ้น ป้องกันเครื่องไหลหลุดจากมือได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงไม่เก็บรอยนิ้วมือ ส่วนงานประกอบของ LG G2 Mini นั้นก็ยังไม่ทิ้งลายของรุ่นใหญ่อย่าง LG G2 ครับ งานประกอบแน่นหนา แข็งแรงมากถึงแม้ตัวเครื่องจะสามารถถอดฝาหลังได้ก็ตาม และเมื่อถอดฝาหลังออกก็จะพบกับแบตเตอรี่ความจุ 2,440 mAh, ช่องใส่ซิม 2 ซิม และช่องใส่ Micro SD Card
สำหรับพื้นที่บริเวณด้านข้างของ LG G2 Mini จะโล่งเพราะย้ายปุ่มทั้งหมดไปไว้ข้างหลังเครื่อง ส่วนทางด้านบนของตัวเครื่อวจะเป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรและ IR Blaster สำหรับยิงสัญญาณอินฟาเรดเพื่อใช้งานเป็นรีโมท และด้านล่างจะเป็นช่องเสียบสาย USB แบบ Micro USB กับลำโพงหลักของตัวเครื่อง
ถ้าได้จอความละเอียด HD จะเป็นอะไรที่เพอร์เฟคมากๆ
หน้าจอของ LG G2 Mini จะเป็นหน้าจอ IPS ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด qHD 960 x 540 พิกเซล 234 ppi ให้สีสันสดใสสมจริง แต่ดันไม่มีระบบปรับแสงสว่างอัตโนมัติมาให้ซะอย่างนั้น การใช้งานกลางแสงแดดจัดทำได้ดีพอสมควร โดยต้องอาศัยการเร่งแสงสว่างจากหน้าจอเพื่อสู้แดดเอาเอง ปกติกลางแดดจัดก็ใช้แสงหน้าจอประมาณ 90% จึงจะมองเห็น ส่วนเรื่องความละเอียดหน้าจอนั้น เท่าที่ลองใช้งานระหว่างรีวิว LG G2 Mini พบว่าหน้าจอค่อนข้างละเอียดในระดับหนึ่ง อาจจะไม่ถึงขั้น HD แต่ก็ไม่ได้จัดว่าหน้าจอหยาบแต่อย่างใด อาจเพราะด้วยหน้าจอของ LG G2 Mini มีค่าความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลค่อนข้างสูง และหน้าจอก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากมายนัก
โดยภาพรวมของ LG G2 Mini ในส่วนของการดีไซน์ก็จัดเป็นสมาร์ทโฟนที่เน้นความคล่องตัว ด้วยหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ตัวเครื่องขนาดพอดีมือ น้ำหนักเบา งานประกอบแน่นหนาแข็งแรง ใช้งานสะดวก เรียกว่าในส่วนของการดีไซน์นั้นทำออกมาได้ดีไม่แพ้รุ่นใหญ่อย่าง LG G2 เลยหล่ะ และสำหรับภาพของตัวเครื่องในมุมอื่นๆ สามารถรับชมได้จากทาง Gallery เลยครับ
Software
สำหรับซอฟท์แวร์ของ LG G2 Mini จะใช้เป็นระบบปฏิบัติการ Android 4.4.2 Kitkat ที่ครอบทับด้วย Optimus UI การใช้งานโดยรวมก็ถือว่าลื่นไหลดีครับ มีการหน่วงบ้างเล็กน้อยด้วยข้อจำกัดด้านซอฟท์แวร์อย่าง Ram 1 GB แต่กลับมีลูกเล่นหรือฟีเจอร์อัดแน่นอยู่ภายในเครื่องไม่แพ้ LG G2 รุ่นปกติที่มี Ram ถึง 2 GB การดีไซน์ UI จะเหมือนใน LG G2 เป๊ะ ภาพรวมถือว่าใช้งานง่ายครับ ที่สำคัญสามารถปรับแต่งรายละเอียดภายในซอฟท์แวร์ได้มากกว่าแบรนด์อื่นพอสมควร อาทิเช่น
- ปรับปุ่ม Soft Key ด้านล่างได้ทั้งตำแหน่งของปุ่ม และเลือกได้ด้วยว่าจะให้มีปุ่มไหนบน Front touch buttons โดยเลือกได้สูงสุดถึง 5 ปุ่มกันเลยทีเดียว
- หรือจะเลือกเอฟเฟคตอนหน้าจอดับก็ยังทำได้อีกต่างหาก (ส่วนตัวชอบแบบ Retro TV)
- เอฟเฟคตอนปัดหน้าจอก็มีให้เลือกหลายแบบเช่นกันครับ
Feature
ถึงแม้ LG G2 Mini จะเป็นมือถือที่มีราคาอยู่ในระดับกลาง ไม่เกิน 10,000 บาท แต่ด้วยความที่เป็นรุ่นย่อส่วนจากอดีตเรือธงอย่าง LG G2 เพราะฉะนั้นฟีเจอร์จึงอัดแน่นและถือว่าเกินราคาค่าตัวไปพอสมควร โดยฟีเจอร์นีมีไม่แพ้ใน LG G2 เลยครับ แต่ในบางฟีเจอร์อาจจะมีการลดทอนความสามารถลงบ้างเล็กน้อย
Knock On
LG ถือเป็นแบรนด์มือถือที่บุกเบิกการเคาะหน้าจอเพื่อปลุกเครื่องเป็นยี่ห้อแรกๆ เลยครับ และมันก็ยังใช้งานได้ดีและสะดวกอยู่เหมือนเดิม โดยใน LG G2 Mini จะสามารถเคาะหน้าจอติดกัน 2 ครั้งเพื่อปลุกเครื่องในขณะที่หน้าจอดับ และเช่นเดียวกันการเคาะหน้าจอติดกัน 2 ครั้งขณะที่อยู่หน้าโฮมก็จะเป็นการเข้าสู่โหมด Sleep โดยที่ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ ที่ตัวเครื่องเลย
Knock Code
เป็นหนึ่งในฟีเจอร์เด็ดสำหรับซอฟท์แวร์ Android 4.4 Kitkat ของทาง LG โดย Knock Code จะเป็นการตั้งรหัสปลดล็อกเครื่องโดยการเคาะหน้าจอ จะบอกว่าเป็นการต่อยอดมาจาก Knock On ก็ดูจะไม่ผิดนัก ส่วนเรื่องความปลอยภัยนั้นทาง LG เคลมว่า Knock Code จะมีรูปแบบการปลดล็อกเกือบๆ 80,000 รูปแบบ ทำให้มันเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เจ๋งไม่แพ้การสแกนลายนิ้วมือเลยหล่ะ สำหรับการตั้งค่า Knock Code ก็ให้เราเข้าไปที่ Setting > Display > Lock Screen จากนั้นก็กำหนดรูปแบบการเคาะหน้าจอ
QSide
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่หลายคนอาจจะเคยลองใช้งานใน LG รุ่นก่อนหน้ามาบ้างแล้วครับ กับเหล่าแอพกลุ่ม QSlide ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานได้เป็นอย่างดี โดยเราสามารถกดเลือกแอพเหล่านี้มาได้จากแถบ Notification (ต้องเปิดใช้งาน QSlide ด้วย) ตัวอย่างแอพก็เช่นเครื่องคิดเลข ปฏิทิน สมุดจด เว็บเบราเซอร์ อีเมล เป็นต้น ซึ่งเราสามารถลากออกมาได้สูงสุดได้ 2 แอพด้วยกัน ส่วนแถบเลื่อนด้านบนของแต่ละแอพจะเป็นตัวปรับความโปร่งใสของตัวแอพ ถ้าเราต้องการใช้งานตัวไหนก็ปรับให้แอพแสดงผลชัดๆ ถ้าไม่ต้องการใช้งานก็ปรับให้สีจางลงไปได้
Quick Remote
เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีเหมือนอย่างใน LG G2 รุ่นปกติ แต่ก็ได้มีการลดความสามารถลง เพราะ Quick Remote ใน LG G2 Mini จะไม่สามารถสแกนแบบยิงสัญญาณจากรีโมทมาที่ตัวเครื่อง LG G2 Mini โดยตรง แต่จะต้องยิงสัญญาณจาก LG G2 Mini ไปที่เครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วลองว่าสามารถเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นได้หรือไม่ ถ้าได้ก็เก็บค่าไว้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องสแกนไปเรื่อยๆ (คล้ายกับ Smart Remote ใน Samsung Galaxy S5) และที่สำคัญคือความหลากหลายของเครื่องใช้ไฟฟ้ามีน้อยกว่าใน LG G2 พอสมควรเพราะว่าใน LG G2 Mini จะควบคุมได้เพียงแค่โทรทัศน์, เครื่องเล่น DVD และเครื่องเล่น Blu-Rays เท่านั้น
Camera
กล้องหลังของ Lg G2 Mini ให้มาที่ 8 ล้านพิกเซล + Auto Focus จำนวน 9 จุด พร้อมไฟแฟลช LED จากการที่ลองใช้งานก็พบว่าเป็นกล้องมือถือที่ถ่ายรูปได้สนุกดีครับ การเข้ากล้องไว จับโฟกัสไว ถ่ายรูปก็ไว จัดเป็นกล้องมือถือที่ใช้งานง่าย ถ่ายรูปสวยรุ่นนึงเลยหล่ะ โหมดถ่ายรูปมีให้เลือกใช้งานพอสมควร รวมถึงการปรับตั้งค่าก็ค่อนข้างละเอียด แต่ตอนที่รีวิว Lg G2 Mini นั้นผมเข้าแอพกล้องแล้วกดถ่ายอย่างเดียวเลยครับ ที่เหลือปล่อยให้กล้องมันคิดเอง ส่วนคุณภาพของรูปถ่ายในโหมดปกติ (หรือจะเรียกโหมด Auto ก็ได้นะ) ถือว่าได้ภาพที่มีคุณภาพดีทีเดียว อย่างในเวลากลางวันนี่จัดว่าดีเยี่ยม ส่วนในที่แสงน้อยอย่างเช่นตอนกลางคืนก็พอไปวัดไปวาได้ครับ จัดว่าคุ้มราคา 9,900 บาทของมันนั่นแหละ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ส่วนตัวผมประทับใจมากตอนรีวิว LG G2 Mini ในส่วนของการถ่ายภาพ ถึงแม้มันจะไม่มีปุ่มชัตเตอร์ แต่ปุ่ม Rear Key ด้านหลังนั้นสะดวกกว่าที่คิดเลยหล่ะครับ โดยการถ่ายภาพด้วย Lg G2 Mini จะสามารถกดชัตเตอร์ได้จากปุ่มลดระดับเสียง หรือปุ่มเพิ่มระดับเสียงก็ได้ และสามารถใช้ปุ่ม Rear Key ควบคุมได้ทั้งตอนใช้กล้องหน้าและกล้องหลัง จะ Selfie ก็ง่าย ถ่ายกล้องหลังก็สะดวกครับ
Performance
สำหรับประสิทธิภาพของ LG G2 Mini ก็จัดเป็นมือถือระดับกลางที่ให้สเปคมาพอดีกับการใช้งาน ในส่วนของความลื่นไหลนั้นอาจจะมีอาการหน่วงให้เห็นบ้างตามสไตล์มือถือที่ใช้ Ram 1 GB ยังโชคดีที่ตัวซอฟท์แวร์ของระบบเป็น Android 4.4.2 Kitkat ทำให้การจัดการแรมค่อนข้างโอเค ส่วนผลเทสก็อยู่ในเกณฑ์ของ CPU Snapdragon 400 ที่ประมาณ 17,000 คะแนนนิดๆ โดยรวมถือว่าโอเคครับ เพราะตัว LG G2 ไม่ได้เป็นสมาร์ทโฟนที่มีความโดดเด่นเรื่องความแรง หรือสเปคระดับสูงเหมือนอย่างมือถือเรือธง แต่จุดเด่นของ LG G2 คือเป็นสมาร์ทโฟนย่อส่วนจากรุ่นเรือธง และมีฟีเจอร์การใช้งานเทียบเท่ากับมือถือรุ่นเรือธงต่างหาก ซึ่งในจุดนี้ LG G2 ก็สอบผ่านครับ
แน่นอนว่าในส่วนของการจัดการพลังงาน LG G2 Mini ก็ยังคงทำให้รู้สึกประทับใจไม่แพ้ LG G2 รุ่นปกติเลย ถึงแม้แบตเตอรี่จะให้มาเพียง 2440 mAh แต่ในการใช้งานจริงตอนที่รีวิวนั้นบอกเลยว่าผมหยิบสายชาร์จออกมาใช้นับครั้งได้เลยหล่ะครับ เพราะ LG G2 Mini มีการจัดการพลังงานที่ดีมาก ใช้งานข้ามวันสบายๆ เลยหล่ะ
Overall
ภาพรวมของ LG G2 Mini ก็ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่ย่อขนาดและสเปคสมาร์ทโฟนเรือธงมาไว้ในสมาร์ทโฟนระดับกลาง การดีไซน์และงานประกอบถอดแบบมาจาก LG G2 เป๊ะๆ เพราะฉะนั้นเรื่องความแข็งแรงของงานประกอบ สเปคก็ใช้งานได้สบายๆ และต้องชมว่า LG ทำรอมของ LG G2 Mini ได้ดีครับ สามารถรีดประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ออกมาได้ค่อนข้างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จัดว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับสมาร์ทโฟนที่ราคาไม่เกิน 10,000 บาทรุ่นหนึ่งก็ว่าได้เลยครับ
ข้อดี
- ตัวเครื่องจับถนัดมือ น้ำหนักเบา
- ปุ่ม Rear Key ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
- กล้องหลังใช้งานง่าย จับโฟกัสไว ถ่ายรูปสวย
- แบตเตอรี่อึด ใช้งานข้ามวันสบายๆ
ข้อสังเกต
- ไม่มีเซนเซอร์ปรับแสงสว่างหน้าจออัตโนมัติ
- มีอาการหน่วงให้เห็นบ้างเล็กน้อย
สำหรับช่วงมือถือที่มีสเปคและช่วงราคาใกล้เคียงกับ LG G2 Mini มีดังนี้ครับ