กลับมาอีกครั้งกับการรีวิวอุปกรณ์เสริมจากเราครับ รอบนี้ก็เป็นเคส iPhone กันบ้าง ซึ่งก็เป็นเคสที่ผมซื้อมาใช้เอง ก็เลยจับมารีวิวคร่าวๆ เหมือนเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไรกันซะหน่อย ซึ่งมันก็คือเคส SPIGEN Slim Armor CS สำหรับ iPhone 6 นั่นเอง โดยก่อนหน้านี้ตัวผมเองก็ไม่ได้ใช้เคสมานานแล้ว ติดแค่กระจกกันรอยที่หน้าจอ แล้วก็แปะฟิล์มที่หลังเครื่องเท่านั้น แต่อยู่ไปอยู่มาเหมือนมันจะเริ่มร่วงจากมือบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ แถมเริ่มมีรอยกระแทก รอยบุบไปบ้างแล้วเล็กน้อย เลย (เพิ่งจะ) คิดได้ว่าควรหาเคสมาใช้บ้างซะที
แล้วก็มาลงเอยที่ตัวนี้ครับ ด้วยหนึ่งในฟีเจอร์ของมันที่น่าสนใจ ก็คือมันมีช่องใส่บัตรในตัว ที่ใส่ได้ทั้งบัตรเครดิต บัตรต่างๆ ที่มีขนาดปกติ ซึ่งผมดูแล้ว น่าจะเหมาะกับเอาไว้ใช้ใส่บัตรรถไฟฟ้า ทำให้เวลาจะขึ้นรถไฟฟ้า ผมไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋าสตางค์ หรือควักบัตรออกมาสแกนให้ลำบากอีก หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเอาไปแตะที่เซ็นเซอร์ ก็เข้าประตูกั้นของรถไฟฟ้าได้เลย ดูแล้วน่าจะสะดวกดี ก็เลยสอยมาซะเลย
อันนี้เป็นตัวฉลากปิดหน้าครับ อันที่จริงจะมีกรอบพลาสติกแข็งใสปิดอยู่ข้างหน้าอีกชั้นนึง แต่ในภาพนี้ผมเปิดฝามันออกมาแล้วไม่ได้ปิดกลับเข้าไป ที่ตัวฉลากก็จะเขียนชื่อรุ่น Slim Armor CS ให้ดูเพื่อกันหยิบผิด พร้อมยังบอกฟีเจอร์เด่นของมันด้วยว่าสามารถใส่บัตรได้สูงสุด 2 ใบ
สำหรับสีที่มีให้เลือกซื้อก็จะมีดัวยกัน 4 สีครับคือสีทอง (Champagne Gold) สีเงิน (Gunmetal) สีฟ้าอ่อนมิ้นท์ (Mint) และสีขาวมุก (Shimmery White) ถ้าอยากเห็นว่าแต่ละสีเป็นอย่างไร ก็ลองเข้าไปชมจากเว็บไซต์ของ SPIGEN เองได้เลยครับ สำหรับตัวที่ผมซื้อก็จะเป็นสีเงิน
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ และทาง SPIGEN โปรโมตก็จะเน้นไปที่เรื่องของความทนทาน เช่น มีการออกแบบให้โครงสร้างทั้งภายในและภายนอกสามารถรับแรงกระแทกได้ดี วัสดุที่ใช้ก็เป็นเกรดดี คุณภาพสูง ทั้งยังบาง พกพาง่าย เป็นต้น
ตัวจริงของ SPIGEN Slim Armor CS ก็หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ฝาหลังจะเรียบๆ สำหรับสีเงินที่ผมซื้อมานี้ พอมาดูจริงๆ มันก็ไม่ถึงกับเงินสนิทนะ มันออกเป็นอมสีทองเล็กน้อย เป็นสีเงินที่เข้มกว่าสีเงินของ iPhone 6 ขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องความบาง ความคิดส่วนตัวผมหลังจากจับมันครั้งแรก ก็เกิดคำถามขึ้นมาเลยว่า “มันบางตรงไหนเนี่ย” เพราะตัวจริงผมว่ามันหนาเอาเรื่องเลยนะ เฉพาะบริเวณขอบจอก็สูงขึ้นมาจากจอตั้ง 0.7 มิลลิเมตรเข้าไปแล้ว รวมๆ นี่หนาแทบจะพอๆ กับเคสที่มีแบตเตอรี่ในตัวบางรุ่นเลยเหมือนกัน
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ตัวเคส SPIGEN Slim Armor CS ตัวนี้ค่อนข้างหนา ก็เนื่องมาจากโครงสร้างภายในครับ โดยทาง SPIGEN ให้ข้อมูลว่า ส่วนของภายในที่ประกบติดกับมือถือนั้น จะใช้วัสดุเป็น TPU (Thermoplastic polyurethane) ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับแรงกระแทกได้ดี ทั้งยังมีการออกแบบให้มีประสิทธิภาพการกระจายแรงกระแทกไปทั่วตัวเคสให้ได้ดีที่สุด เช่น การออกแบบให้ตรงมุมเป็นช่องอากาศ เพื่อช่วยดูดซับและลดแรงกระแทกที่จะส่งไปทั่วตัวเคสลง ส่วนชั้นบนขึ้นมาก็จะเป็นพลาสติกเนื้อแข็งพอสมควร ใช้สำหรับเป็นช่องใส่บัตรเข้าไปอีก ทำให้รวมๆ มันดูค่อนข้างหนา
ส่วนกรอบนอกรอบเครื่องนั้น ใช้วัสดุเป็นโพลีคาร์บอเนตเนื้อด้านครับ ให้สัมผัสเป็นแบบผิวซอฟต์ทัชเลย จับแล้วรู้สึกว่ามันเนียนมือดี ทั้งยังแข็งแรงมากพอสำหรับช่วยป้องกันแรงกระแทกอีกด้วย
ด้านข้างก็มีชื่อรุ่นบอกชัดเจนเลย ไม่ผิดตัวแน่นอน
ทีนี้มาดูตอนใช้งานจริงกันบ้างครับ จะเห็นว่าผมสามารถใช้เคสร่วมกับ iPhone 6 ที่ติดกระจกกันรอยแบบเกือบเต็มหน้าจอได้สบายๆ โดยที่เคสไม่กินกระจกหรือฟิล์มเข้ามา แต่ถ้าใครใช้กระจกหรือฟิล์มที่ปิดท้บหน้าจอหมด 100% อันนี้บอกเลยว่ามีกินขอบๆ แน่นอน แต่ไม่น่าจะเยอะมาก เพราะขอบเคสมันกินเข้ามาถึงช่วงรอยต่อระหว่างกระจกกับตัวฝาหลังอลูมิเนียมพอดีครับ ดังนั้นถ้าจะเอาให้ชัวร์ แนะนำว่าลองหาเคสจากคนที่ใช้งานอยู่แล้ว หรือขอลองหน้าร้านก่อนจะดีกว่า (ถ้ามีให้ลองนะ)
เรื่องน้ำหนักนี่ก็เพิ่มจากเดิมเยอะพอสมควร จากปกติ iPhone 6 มันมีน้ำหนัก 129 กรัม พอใส่เคสนี้แล้ว น้ำหนักโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 199 กรัม (น้ำหนักเคสชั่งแล้วประมาณ 50 กรัม)
ดูตรงขอบกันชัดๆ ครับ ถ้าใช้ฟิล์มหรือกระจกที่ไม่ครอบทั้งหน้าจอ ก็เหลือพื้นที่แบบสบายๆ ไม่ต้องกลัวเคสกินเลย แถบขอบเคสเองมันก็มีส่วนยกขึ้นมาสูงจากหน้าจอตั้ง 0.7 มิลลิเมตรด้วย ซึ่งมันก็จะช่วยป้องกันหน้าจอเราขูดกับพื้นเวลาคว่ำจอลงเครื่องได้ดี รวมถึงยังช่วยป้องกันไม่ให้ขอบจอเรากระแทกพื้นเวลามันร่วงลงไปอีกด้วย (ถ้าไม่ซวยเจออะไรมากระแทกจอตรงๆ อะนะ) โดยสำหรับเครื่องผม ตัวขอบเคสที่สูงขึ้นมานี้ ก็ยังสูงกว่าหน้าจอ+กระจกกันรอยซะอีก ทีนี้ก็ใช้งานได้สบายไปเลย
ส่วนพวกช่องพอร์ต และปุ่มกดต่างๆ ก็มีการทำตำแหน่งมาให้พอดีเป๊ะๆ ครับ สำหรับช่องหูฟัง เท่าที่ผมลองก็สามารถใช้กับแจ็คของ EarPods ได้สบายๆ หรือจะใช้ร่วมกับแจ็คหูฟังแบบพวกแจ็คโม ที่หัวจะใหญ่หน่อยก็สามารถใส่ได้นะ ไม่หลุดง่ายเท่าไหร่ แต่ก็ดึงออกมาง่ายกว่าปกตินิดนึง
สำหรับปุ่มกดต่างๆ ก็จะเป็นปุ่มโพลีคาร์บอเนตขึ้นมาให้กดแทนครับ ตัวปุ่มนี่บอกเลยว่าแข็งมาก กดยากพอสมควร โดยเฉพาะปุ่ม Power ที่ต้องใช้แรงกดเยอะกว่าปกติ ส่วนสวิทช์เปิด/ปิดเสียงนี่ก็อยู่ลึกเข้าไปจากขอบเคสเหมือนกัน เวลาใช้จริงผมต้องใช้เล็บในการจิกสวิทช์แทน
ช่องกล้องด้านหลังเองก็ได้รับการออกแบบให้อยู่ลึกลงไปจากผิวเคสเช่นกันครับ ลึกลงไปไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งเซนติเมตรเลยก็ว่าได้ รับรองว่าแทบไม่มีอะไรเข้าไปขูดกระจกปิดเลนส์ได้แน่ๆ
มาถึงเรื่องจุดเด่นของเคส SPIGEN Slim Armor CS ตัวนี้แล้วครับ นั่นคือการที่มันมีช่องใส่บัตรด้านหลังนี่เอง ซึ่งด้านนอกจะเป็นฝาปิดที่ใช้การสไลด์ลงมาเพื่อเปิดช่องใส่ โดยสามารถสไลด์ลงมาได้ที่ระดับประมาณบัตรครึ่งใบอย่างในภาพด้านบน สำหรับใครที่ห่วงว่ามันเป็นแค่ฝาปิด มันจะปิดได้แน่นขนาดไหน อันนี้บอกเลยว่ามันแน่นกว่าที่คิดครับ ถ้าแค่จับเครื่อง ใช้งานทั่วไป หยิบออกหรือใส่กระเป๋ากางเกงธรรมดานี่แทบจะไม่เลื่อนลงมาเลย หรือถึงเลื่อนลงมา มันก็เลื่อนลงมาได้แค่ประมาณบัตรครึ่งใบ จึงทำให้บัตรไม่น่าจะร่วงออกมาได้ง่ายๆ อย่างที่คิด ส่วนจำนวนบัตรที่ใส่ได้ ผมลองใส่แล้วได้สูงสุด 3 ใบครับ (บัตรพลาสติก เช่นบัตรรถไฟฟ้า บัตรเครดิต) 3 ใบนี่คือแน่นพอดีเป๊ะๆ แล้ว ไม่สามารถยัดเพิ่มได้อีกแล้ว แต่ถ้าใครจะใช้ใส่นามบัตรก็โอเคเลยนะ ได้หลายใบอยู่เหมือนกัน
ในการใช้งานจริง ผมใช้ช่องนี้ใส่บัตรรถไฟฟ้าทั้งบัตร Rabbit ของ BTS และบัตรของ MRT ไว้ด้วยกันเลย จากเท่าที่ผมลองใช้งานรถไฟฟ้า ปรากฏว่าของ MRT สามารถใช้สแกนเพื่อผ่านประตูได้ทันที แต่ของ BTS ผมไม่สามารถใช้งานได้เลย ต้องเปิดช่องแล้วเอาบัตรออกมาแตะที่หน้าประตู ตรงนี้น่าจะเป็นเพราะสัญญาณเซนเซอร์ตัวอ่านที่ประตู BTS มันไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ เลยทำให้ไม่สามารถใส่บัตรไว้ในเคสแล้วใช้งานตามปกติได้เหมือน MRT ซึ่งผมก็ลองดูแล้ว ไม่ว่าจะใส่ทั้งสองบัตร หรือใส่บัตร BTS แค่ใบเดียวในเคส ต่างก็ไม่สามารถใช้งานได้เลย ดังนั้นคงไม่ใช่ปัญหาเรื่องสัญญาณจากบัตรมันตีกันแน่นอน