Xiaomi เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่รักษาเอกลักษณ์ของตัวเองมาได้เป็นระยะเวลายาวนาน นั่นก็คือเครื่องที่มีความคุ้มค่าของสเปคต่อราคาสูงมาก เห็นได้ชัดจากมือถือหลายๆ รุ่นที่อัดสเปคมาให้แบบแน่นๆ ในราคาย่อมเยากว่าแบรนด์อื่น พอมาในช่วงหลังก็เริ่มได้เห็น Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีจอภาพในซีรีส์ Xiaomi Mi Mix ที่มาพร้อมจอแบบเกือบเต็มเครื่อง นับเป็นรุ่นที่มีความโดดเด่นกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ในตลาดปัจจุบันเป็นอย่างดี และมาในปีนี้ Xiaomi ก็ส่งรุ่นต่อยอดอย่าง Xiaomi Mi Mix 2S ออกมาทำตลาดต่อ โดยสืบทอดเอกลักษณ์เดิมๆ มา แต่เพิ่มเติมในแง่ของสเปคให้ทันสมัยขึ้น และที่สำคัญคือ…มันได้รับการพัฒนาเรื่องกล้องถ่ายรูป จนได้รับคะแนนการทดสอบจากเว็บไซต์ DxOMark ถึง 97 คะแนน !! นับว่าติดอันดับเป็นเบอร์ต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะตามปกติแล้ว ซีรีส์ Mi Mix จะไม่ได้โดดเด่นเรื่องกล้องมากนัก
ก่อนจะชมรีวิว Xiaomi Mi Mix 2S แบบเต็มๆ กันนั้น มาดูสเปคเบื้องต้นกันก่อนเลยครับ
สเปค Xiaomi Mi Mix 2S (เครืองที่ได้รับมาทดสอบ)
- ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 845 มี 8 คอร์ ความเร็ว 4x 2.8 GHz และ 4x 1.8 GHz พร้อมชิปกราฟิก Adreno 630
- แรม 8 GB
- รอม 256 GB ใส่ MicroSD เพิ่มไม่ได้
- หน้าจอ Full Screen พาเนล IPS ขนาด 5.99 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1080 อัตราส่วน 18:9 รองรับการแสดงผลสีตามมาตรฐาน DCI-P3
- กระจกหน้าจอ Gorilla Glass 4
- กล้องหลังเลนส์คู่ Dual Pixel, Phase Detection พร้อม AI ช่วยประมวลผลภาพ
- เลนส์มุมกว้างปกติ 12 ล้านพิกเซล 26mm f/1.8 พิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน มี OIS 4 แกน
- เลนส์เทเล 12 ล้านพิกเซล 46mm f/2.4 ใช้สำหรับซูม optical 2 เท่า
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล f/2.0
- ใช้งานได้ 2 ซิม สามารถเชื่อมต่อสัญญาณ 4G LTE ได้พร้อมกันทั้งสองช่อง (1 active / 1 stand-by)
- USB-C 1.0 ไม่มีช่อง 3.5 mm.
- Android 8.0 Oreo ครอบด้วย MIUI 9.5
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหลัง
- แบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh รองรับ Quick Charge 3.0
- รองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน Qi
- ราคาเริ่มต้น 17,990 บาท
อัพเดต 16/05/2018
Xiaomi ประเทศไทยได้เปิดราคาอย่างเป็นทางการเรียบร้อย โดยรุ่นที่เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็นรุ่น Ram 6 GB ทั้งคู่ ได้แก่
- Xiaomi Mi Mix 2S Ram 6 GB ความจุ 64 GB ราคา 17,990 บาท
- Xiaomi Mi Mix 2S Ram 6 GB ความจุ 128 GB ราคา 19,990 บาท
ด้านสเปคให้มาแบบจัดเต็มสุดๆ ไล่ตั้งแต่ชิปประมวลผลที่เป็นตัวแรงสุดของ Qualcomm ในปีนี้ ส่วนแรมและรอมของเครื่องที่ทางเราได้รับมาทดสอบ ก็คือตัวท็อปสุดคือ 8 GB/256 GB (บอกเลยว่า ปริมาณมันเท่ากับคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้อยู่เป๊ะ!!) ทำให้แทบไม่ต้องห่วงเรื่องการทำงาน การเก็บข้อมูล ส่วนจอก็ยังมาแบบเกือบเต็มขอบ 3 ด้านเช่นเดิม ส่วนกล้องก็มาเป็นกล้องคู่ลักษณะเดียวกับหลายๆ รุ่นที่มีในปัจจุบัน ทำให้การถ่ายรูปในสไตล์หน้าชัดหลังเบลอทำได้ง่ายขึ้น ภาพมีมิติมากขึ้นกว่าเดิม
ด้วยการที่มาพร้อมสเปคระดับสูงและกล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าจนขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เลยทำให้เป็นมือถือรุ่นที่ได้รับกระแสความสนใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน และที่อดคิดไม่ได้เลยก็คือ นี่ขนาดเป็นรุ่นในซีรีส์ Mi Mix ยังอัดมาขนาดนี้ แล้วซีรีส์เรือธงหลักที่น่าจะออกมาในปีนี้อย่าง Xiaomi Mi 7 ที่จะอัดทุกอย่างมาในระดับท็อปสุด มันจะเหนือขึ้นไปได้ถึงระดับไหนอีก ก็จัดว่าทาง Xiaomi สร้างกระแสในส่วนของผลิตภัณฑ์ได้ดีมากทีเดียว นับตั้งแต่รุ่นบนไปจนถึงรุ่นราคาย่อมเยาที่มีขายอยู่ในขณะนี้
** เครื่อง Xiaomi Mi Mix 2S ที่ทางเราได้รับมาทดสอบ เป็นเครื่องและซอฟต์แวร์รุ่นทดสอบซึ่งยังไม่ใช่สำหรับตัวที่จะวางขายจริง ดังนั้นบางฟีเจอร์จึงยังไม่สามารถทดสอบได้ หรืออาจได้ผลทดสอบไม่ตรงกับเครื่องที่ขายจริง **
Design / การออกแบบ
ด้านหน้าจะดูไม่ค่อยแตกต่างจาก Mi Mix รุ่นแรกมากนัก เนื่องจากแค่ตัวหน้าจอเองก็กินพื้นที่ไปถึงเกือบ 82% ของด้านหน้าตัวเครื่องเข้าไปแล้ว มันจึงแทบไม่เหลือความแตกต่างที่สังเกตได้เท่าไหร่ แต่ถ้าหากจับสองเครื่องมาเทียบกันก็จะแยกได้ง่ายมากๆ เพราะตัว Mi Mix รุ่นแรกจะมีขนาดใหญ่กว่านั่นเอง ส่วนในภาพของ Mi Mix 2S ด้านบน จะเป็นตัวเครื่องที่ใส่เคสที่แถมมาในกล่องด้วยนะครับ เลยอาจจะเห็นว่าขอบจอดูหนาไปหน่อย ซึ่งด้วยการที่ Xiaomi ออกแบบให้ขอบจอมีความบาง และตัดพื้นที่ด้านบนออกไป ทำให้ขนาดเครื่องโดยรวมนั้นเล็กกะทัดรัดมากๆ แม้จะมีจอขนาดใหญ่ถึงเกือบ 6 นิ้วก็ตาม จุดนี้น่าจะถูกใจคนที่กำลังมองหามือถือสเปคระดับท็อป จอใหญ่ แต่อยากให้เครื่องมีขนาดกะทัดรัดเป็นอย่างดี
จอแสดงผลนอกเหนือจากความโดดเด่นเรื่องขนาดแล้ว คุณภาพการแสดงผลยังยอดเยี่ยมมากๆ ด้วยเช่นเดียวกัน ภาพคมชัดด้วยความละเอียดระดับที่เกิน Full HD ไปเล็กน้อย (ด้วยการที่จอเป็นแบบ 18:9) สีสันสดใสทุกมุมมอง การใช้งานกลางแจ้งก็ทำได้ดีมาก สามารถมองภาพบนหน้าจอได้โดยไม่ต้องเอามือป้อง การสะท้อนแสงก็ไม่อยู่ในระดับที่กวนสายตา ถือว่าทำออกมาได้สมราคาจริงๆ ส่วนลำโพงสนทนา ให้สังเกตดีๆ เพราะมันไปแอบอยู่ตรงขอบด้านบน เหนือจอขึ้นไปเล็กน้อย
หากจะมองหากล้องหน้า รวมถึงเซ็นเซอร์ต่างๆ ของ Xiaomi Mi Mix 2S ก็ให้มาดูที่ขอบล่างเครื่องครับ ถ้าเอาไปส่องกับแสงก็จะเห็นได้ชัดขึ้น โดยกล้องหน้าจะถูกวางเอาไว้มุมขวาล่าง ส่วนพวกเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์วัดแสงสว่าง เซ็นเซอร์วัดระยะห่าง ก็จะถูกซ่อนกระจายอยู่ในบริเวณนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการที่จับกล้องหน้าและเซ็นเซอร์มาไว้ด้านล่างเช่นนี้ ทำให้ Xiaomi สามารถตัดขอบจอด้านบนออกไปได้เลย แบบไม่ต้องมีติ่งส่วนเกินเข้ามาในจอ นับว่าเป็นการออกแบบที่น่าสนใจ ถ้าให้นึกย้อนไป ก็จะพบว่ามีมือถือในอดีตบางรุ่นที่ทำออกมาในลักษณะนี้อยู่เหมือนกัน เช่นรุ่น Aquos Crystal ของ Sharp ที่ไม่มีขายอย่างเป็นทางการในไทย เป็นต้น
ด้านการใช้งาน ถ้าเป็นส่วนของกล้องหน้าจะไม่มีปัญหาอะไรครับ เพราะแอปกล้องจะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเลยว่า หากต้องการถ่ายเซลฟี่ แนะนำให้กลับหัวเครื่องซะก่อน ก็จะทำให้ตำแหน่งกล้องหน้าของเครื่องเป็นลักษณะเดียวกับมือถือทั่วๆ ไปแล้ว แต่ในส่วนของเซ็นเซอร์วัดแสงสว่าง เพื่อการปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัตินั้น ส่วนตัวผมพบปัญหาการใช้งานอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นเวลาเล่นเกมในแนวนอน บางครั้งมือจะไปบังเซ็นเซอร์ ทำให้ระบบจัดการปรับความสว่างหน้าจอลง เพราะนึกว่าเราใช้งานในที่มีแสงน้อยอยู่ ตรงจุดนี้ก็อาจทำให้รำคาญใจระหว่างใช้งานอยู่บ้างไม่น้อยครับ ก็คงต้องเรียนรู้รูปแบบการใช้งานไป ว่าควรจับเครื่องในลักษณะใด หรือจะปิดระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติไปชั่วคราวก่อนก็ได้
ด้านหลังของ Xiaomi Mi Mix 2S ใช้วัสดุเป็นเซรามิกที่ให้ความรู้สึกเหมือนกระจก โดยเฉพาะการสะท้อนแสงที่สามารถใช้แทนกระจกเงาได้เลย ลื่นมือเล็กน้อย ที่แน่ๆ คือมันเปื้อนคราบรอยนิ้วมือได้ง่าย และก็มองเห็นได้ง่ายด้วยเช่นกัน ส่วนการวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ ก็เป็นไปตามรูปแบบมาตรฐานสำหรับมือถือที่มีกล้องหลังมากกว่า 1 ตัวไปแล้ว นั่นคือวางกล้องทั้งคู่ไว้ในแนวตั้ง คั่นกลางด้วยแฟลช LED แบบไฟคู่ โดยทั้ง 3 ชิ้นนี้จะวางอยู่บนแป้นที่นูนขึ้นมาจากฝาหลังอย่างเห็นได้ชัด โดยถ้าดูจากในภาพด้านบน ก็จะเรียงตำแหน่งโดยเลนส์เทเลอยู่ซ้ายสุด ตรงกลางคือแฟลช และก็ตามมาด้วยเลนส์ไวด์ซึ่งเป็นกล้องหลังตัวหลักของ Mi Mix 2S
ส่วนวงกลมตรงกลางค่อนบนของฝาหลังก็คือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ สามารถใช้งานจากทิศทางใดก็ได้ ความเร็ว ความแม่นยำอยู่ในระดับที่ดี ในระนาบเดียวกันนั้นก็จะเป็นประโยคว่า “MI MIX DESIGNED BY XIAOMI” ตัวอักษรสีทอง ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับใน Mi Mix รุ่นแรก ช่วยตอกย้ำให้ทุกคนเห็นถึงศักยภาพในการออกแบบสมาร์ทโฟนของ Xiaomi มากยิ่งขึ้น ส่วนตัวผมเองก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ช่วยเสริมภาพลักษณ์ได้ดีมาก แต่….
หากพูดถึงลักษณะการถือเครื่องที่มีกล้องอยู่ตำแหน่งนี้ในแนวนอนเพื่อถ่ายรูปด้วยกล้องหลังจริงๆ แทบทุกคนจะจับให้กล้องอยู่ด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วไปบังหน้าเลนส์ ซึ่งถ้าจับด้วยลักษณะดังกล่าว ประโยคที่ว่า MI MIX DESIGNED BY XIAOMI มันจะกลับหัว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็แอบเป็นจุดที่ Xiaomi น่าจะปรับปรุง เพื่อเสริมภาพลักษณ์กับผลิตภัณฑ์ของตนซักหน่อยนึงครับ (แต่ถ้าใส่เคสทึบปิดไว้ ก็จบ ไม่มีปัญหา)
ส่วนที่นูนของโมดูลกล้องหลังก็จะตามภาพด้านบนเลย หากจะใช้งาน Xiaomi Mi Mix 2S แบบไม่ใส่เคส ก็อาจต้องระวังเวลาวางเครื่องด้วย แต่ถ้าใส่เคสก็หมดปัญหาครับ เพราะเคสมันจะหนากว่าส่วนนูนของกล้องหลังอยู่แล้ว
ทีนี้ลองเทียบขนาด Xiaomi Mi Mix 2S กับมือถือเครื่องอื่นซักเล็กน้อยครับ ทางขวาคือ Google Plixel 2 XL เครื่องประจำของผม ที่เอามาเทียบกันก็เพราะว่าทั้งสองเครื่องนี้ เป็นจอแบบอัตราส่วน 18:9 เท่ากัน ขนาดจอก็แทบจะเท่ากันด้วยคือ 5.99″ และ 6″ จะเห็นว่าเมื่อจับเอาตำแหน่งจอให้ตรงกัน ตัวเครื่อง Mi Mix 2S จะเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะส่วนบนที่เหมือนถูกตัดท่อนนั้นออกไปเลย ส่งผลให้ตัวเครื่อง Xiaomi Mi Mix 2S มีความกะทัดรัดกว่ามือถือจอ 6″ เครื่องอื่นๆ อีกระดับ
ขอบข้างของ Xiaomi Mi Mix 2S เลือกใช้อลูมิเนียมโค้งมน ให้สัมผัสไหลลื่น ไม่มีสะดุด โดยมีการวางปุ่มกดและช่องต่างๆ ดังนี้
- ด้านบน: ไมค์ตัดเสียงรบกวน
- ด้านล่าง: ไมค์สนทนา, USB-C และลำโพง
- ด้านซ้าย: ถาดใส่นาโนซิม ใส่ได้สูงสุด 2 ใบ
- ด้านขวา: แผงปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และปุ่ม Power
การวางตำแหน่งของปุ่มกด ทำมาได้ดีสำหรับผู้ที่ใช้งานด้วยมือขวา ส่วนผู้ที่ต้องการใช้หูฟังมีสายแบบปกติคงต้องใช้สายแปลงจากช่อง USB-C เป็นช่องเสียบแจ็คหูฟัง 3.5 mm.มาใช้งานด้วย จึงจะใช้หูฟังแบบปกติได้ หรือไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนไปใช้หูฟัง Bluetooth ไปเลยก็ดีครับ สะดวกไปอีกแบบ ไม่ต้องต่อสายให้รุงรัง แถมยังฟังเพลงไป เสียบสายชาร์จไปได้ด้วย
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง Xiaomi Mi Mix 2S ก็ได้แก่
- เคสพลาสติกแข็ง ฟิตพอดีตัว
- อะแดปเตอร์ Quick Charge 3.0 จ่ายไฟได้ทั้ง 5V 3A / 9V 2A / 12V 1.5A
- สาย USB-C
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
- สายแปลง USB-C เป็นช่อง 3.5 mm.
สำหรับหูฟัง ไม่มีแถมให้ในกล่องนะครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของ Xiaomi อยู่แล้ว
นอกจากตัวเครื่องแล้ว ในการรีวิว Xiaomi Mi Mix 2S ครั้งนี้ ทางเรายังได้รับแท่นชาร์จไร้สายมาให้รีวิวคู่กันอีกด้วยครับ ซึ่งเจ้าแท่นชาร์จตัวนี้ก็ได้รับการเปิดตัวมาพร้อมๆ กับ Mi Mix 2S เลย จุดที่น่าสนใจของมันก็คือเป็นแท่นชาร์จจาก Xiaomi แท้ๆ ที่เปิดราคามาเพียงประมาณ 500 บาทเท่านั้น จัดว่าเป็นราคาที่น่าสนใจมากสำหรับแท่นชาร์จไร้สายที่รองรับมาตรฐาน Qi จากแบรนด์เจ้าของมือถือเอง
ตัวแท่นจะถูกหุ้มด้วยซิลิโคนสีขาวเนื้อยาง เท่าที่ดู สามารถหลุดลอกออกจากตัวแท่นได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นการใช้งานแบบตั้งอยู่กับโต๊ะตามปกติคงไม่มีปัญหาอะไร ช่องต่อไฟเข้าจะเป็น USB-C จึงสามารถใช้งานร่วมกับสายชาร์จและอะแดปเตอร์ที่ให้มาในกล่อง Xiaomi Mi Mix 2S ได้เลย ด้านของการจ่ายไฟ ตัวนี้จะสามารถจ่ายได้ที่ 5V 2A หรือ 9V 2A เท่านั้น เวลาชาร์จกับ Mi Mix 2S แล้วไม่ขึ้นว่าเป็น Quick Charge ครับ ดังนั้นระยะเวลาในการชาร์จก็จะนานกว่าเสียบสายต่อชาร์จตรงกับอะแดปเตอร์อยู่พอสมควร ส่วนความร้อนระหว่างใช้งาน อันนี้ไม่มีปัญหาอะไร ตัวแท่นและมือถือเองก็จะอุ่นๆ ขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
Feature / ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
Full Screen Display & Second Space
เป็นตัวเลือกในการแสดงผลใน Xiaomi Mi Mix 2S ที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้หน้าจอแสดงผลแบบเต็ม หรือจะเป็นแบบที่มีแถบปุ่ม navigation ทั้งสามอยู่ด้านล่างด้วย ซึ่งแบบหลัง ระบบจะขยับอินเตอร์เฟส ไอคอน เมนูขึ้นไป ทำให้พื้นที่ในการแสดงผลต่อหนึ่งหน้าจะน้อยกว่าการแสดงผลเต็มจออยู่เล็กน้อย แต่ก็สะดวกตรงที่มีปุ่มมาให้กดใช้งานเหมือนมือถือ Android ส่วนใหญ่ในท้องตลาด
แต่ถ้าหากเลือกใช้งานแบบเต็มจอ การควบคุมต่างๆ เช่น การย้อนกลับ การกลับไปหน้าโฮม หรือการเรียกดูแอปที่เพิ่งใช้งานล่าสุด จะเปลี่ยนไปใช้รูปแบบของการปาดหน้าจอแทน ถ้าจะให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือมันเป็นลักษณะเดียวกับในมือถือบางรุ่น เช่น iPhone X หรือที่เก่ากว่ากันหน่อยก็เช่น Blackberry Z10 เลยก็ว่าได้ครับ
สำหรับรูปแบบการปาดหน้าจอ (swipe) ที่สำคัญก็เช่น
- ปาดจากขอบเครื่องด้านล่าง เข้ามากลางจอ > ปล่อยนิ้ว: กลับหน้าโฮม
- ปาดจากขอบเครื่องด้านล่าง เข้ามากลางจอ > กดนิ้วค้างไว้: เรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด
- ปาดจากขอบจอซ้ายหรือขวา เข้ามากลางจอ: ย้อนกลับ
ตัวของการปาดหน้าจอ หากคนที่ไม่เคยใช้งานในรูปแบบนี้มาก่อน ก็อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อให้จดจำได้ซักพักนึง หลังจากเคยชินแล้วจะพบว่ามันก็สะดวกไปอีกแบบ พอกลับไปใช้งานเครื่องอื่น ตัวผมเองก็มักจะเผลอปาดนิ้วอยู่เป็นระยะๆ เหมือนกัน ถ้าหากไม่ต้องการใช้งาน ก็ยังดีที่มีตัวเลือกให้แสดงผลหน้าจอแบบมีแผงปุ่มกดด้านล่างก็ได้เช่นกัน จัดว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่บังคับผู้ใช้งานมากจนเกินไปครับ
แต่ถ้าหากอยากจะใช้งานจอ Xiaomi Mi Mix 2S ให้เต็มที่ ก็คงต้องปรับให้แสดงผลเต็มจอแหละนะ
เมนูของตัวปรับการแสดงผลเต็มจอ จะซ่อนอยู่ในเมนูการตั้งค่าของเครื่องอีกทีครับ โดยถ้าหากยังจำรูปแบบการปาดนิ้วไม่ได้ ก็จะมีเดโมการใช้งานแต่ละแบบให้ดูและทดลองทำตามได้ด้วย
ส่วนช็อตคัตการทำงานต่างๆ ใน Xiaomi Mi Mix 2S ก็มีมาให้ใช้งานพอสมควรเลย เช่น การปาด 3 นิ้วลงพร้อมกัน เพื่อแคปหน้าจอ หรือจะเลือกรูปแบบการปาดนิ้วเพื่อปิดหน้าจอลงไปก็ได้ด้วย ทั้งหมดนี้ก็รวมอยู่ในเมนูการตั้งค่าของเครื่องด้วยเช่นกันครับ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมขอใส่มาในนี้ เพราะเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ Second Space ที่ระบบจะสร้างพื้นที่จำลองขึ้นมาสำหรับให้ผู้ใช้โคลนแอปไปใช้งานแยกได้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการแยกบัญชีสำหรับทำงาน และบัญชีส่วนตัวมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เลือกใช้งานตัวท็อปสุดที่มาพร้อมรอม 256 GB ถ้าจะใช้งานก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพื้นที่เก็บข้อมูลเลยก็ว่าได้
เชื่อมต่อ 4G LTE พร้อมกันทั้งสองซิม
โดยปกติแล้ว มือถือสองซิมส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซิมรองจะสามารถเชื่อมต่อได้เฉพาะ 3G/2G เท่านั้น ซึ่งอาจจะพบปัญหากับบางเครือข่ายในบางพื้นที่ ที่อาจจะมีการลดการปล่อยสัญญาณ 3G/2G บ้างแล้ว รวมถึงในอนาคตที่จะมาถึงด้วย ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้งานซิมรองได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับในตอนนี้ ตัวฮาร์ดแวร์ในมือถือ โดยเฉพาะชิปเซ็ตรุ่นท็อปๆ มักจะมาพร้อมความสามารถในการเชื่อมต่อ 4G LTE ทั้งสองซิมพร้อมกันได้แล้ว จึงทำให้มันเป็นอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจเลยครับ
ซึ่งใน Xiaomi Mi Mix 2S ที่ใช้ชิป Snapdragon 845 ก็รองรับด้วยเหมือนกัน โดยในเมนูการตั้งค่าซิมจะมีให้เปิดใช้งาน Dual 4G ได้ด้วย เมื่อเปิดแล้ว ซิมทั้งสองจะสามารถจับสัญญาณ 4G ได้ โดยจะเป็นรูปแบบของซิมหลัก active ส่วนซิมรองจะเป็น stand-by ไว้ คือสามารถรอรับสายได้ (ไม่สามารถโทรหากันเองในเครื่องเดียวได้) สำหรับการเชื่อมต่อในลักษณะของ Carrier Aggregation (CA) ที่เป็นการรวมคลื่นเพื่อให้ได้แบนด์วิธรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นนั้น เท่าที่ผมทดสอบก็คือจะมีแค่ซิมหลักที่ทำได้ ส่วนซิมรองก็จะจับได้แค่คลื่นเดียว ดังจะเห็นได้จากรูปขวาสุดของภาพประกอบด้านบนครับ ที่ซิมหลักจะแสดงว่าเป็น 4G+ ส่วนซิมรองก็ขึ้นแค่ 4G ปกติ
ส่วนถ้าหากต้องการสลับซิมหลัก-ซิมรองใน Xiaomi Mi Mix 2S นั้น สามารถทำได้รวดเร็วมาก ใช้เวลารอไม่ถึง 5 วินาทีก็ใช้งานเน็ต 4G LTE ของอีกซิมที่ต้องการต่อได้ทันที มีบางช่วง ผมกดสลับรัวๆ เพื่อทดสอบความเร็วเน็ตได้แบบง่ายๆ เลย
เห็นว่าสามารถต่อ 4G พร้อมกันทั้งสองซิมอย่างนี้ หลายท่านคงกังวลว่ามันจะกินแบตมากกว่าเดิมมั้ย? แบตไหลหรือเปล่า? ในประเด็นนี้ผมทดสอบด้วยการใช้งานจริงมาหลายวันแล้วครับ อัตราการใช้งานแบตของมันแทบไม่แตกต่างจากมือถือสองซิมปกติทั่วไปเลย อยู่ได้ 1 วันเหมือนกัน
Software / ซอฟต์แวร์ในเครื่อง
Xiaomi Mi Mix 2S มาพร้อม Android 8.0 Oreo ที่ครอบมาด้วยอินเตอร์เฟส MIUI เวอร์ชัน 9.5 beta สำหรับ Global ที่ถูกออกแบบมาสำหรับเครื่องที่วางขายในหลายๆ ประเทศ ในตัวก็จะมี Google Play Service ทั้งหลาย เช่น Play Store รวมถึงแอปจาก Google ติดมาให้พร้อมใช้งานได้เลย ซึ่งเครื่องที่ Xiaomi วางขายอย่างเป็นทางการในไทยก็จะเป็นรอมเวอร์ชัน Global อยู่แล้วครับ สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมานั่งลง GApps อีกแล้ว ส่วนเรื่องของการอัพเดต ตามปกติแล้ว Xiaomi จัดเป็นแบรนด์ผู้ผลิตที่มีการอัพเดตทั้งเวอร์ชัน Android และแพทช์ความปลอดภัยให้ค่อนข้างสม่ำเสมอ ยิ่งเป็นรุ่นสูงๆ ด้วยแล้วก็ไม่ต้องห่วงเลย น่าจะได้อัพเดตกันไปอีกหลายปี ทั้งนี้ขอย้ำอีกทีนะครับ ว่าเครื่องที่ทางเราได้รับมาทดสอบในครั้งนี้ ยังเป็นรอมเวอร์ชันทดสอบอยู่ จึงอาจจะทำให้การทำงานของบางฟังก์ชัน รวมถึงประสิทธิภาพ อาจจะยังไม่ถึงระดับที่ตัวเครื่องน่าจะทำได้ และเครื่องที่ขายจริง อาจมีบางจุดที่แตกต่างจากผลการทดสอบในรีวิว Xiaomi Mi Mix 2S ในครั้งนี้ครับ
พื้นที่เก็บข้อมูลที่เหลือให้ใช้ได้หลังจากเปิดเครื่องขึ้นมาครั้งแรก เครื่องที่ทางเราได้รับมาทดสอบนั้นมีพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 256 GB เปิดมาเหลือให้ใช้งานราวๆ 244 GB ด้วยกัน รับรองว่าใช้งานได้สบายๆ จนลืม MicroSD กันเลยก็ว่าได้ จะเก็บหนัง เก็บเพลง เก็บรูปถ่าย ก็ใช้กันไปให้เต็มที่ไปเลย
ด้านของการใช้งานภาษาไทย ก็ไม่มีปัญหา ด้วยความที่เป็นรอมเวอร์ชัน Global ผู้ใช้จึงสามารถเลือกภาษาของเมนูต่างๆ ในเครื่องเป็นภาษาไทยได้โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่มเติมเลย ส่วนภาพสุดท้ายก็มาจากแอป Mi Community ที่เป็นศูนย์รวมข้อมูล และช่องทางพูดคุยของชุมชนชาว Mi ในไทยครับ ซึ่งจะมีการประกาศแบบเป็นทางการของการอัพเดตเวอร์ชัน และข่าวเกี่ยวกับ Xiaomi มาให้อ่านกันด้วย
Camera / กล้องถ่ายภาพ
ด้านของกล้องถ่ายภาพ เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ได้รับการพูดถึงมาก ทั้งจากทาง Xiaomi เอง และกระแสในโซเชียล เพราะนับเป็นการจัดเต็มเรื่องกล้องของ Xiaomi ในซีรีส์ Mix ของตนเป็นครั้งแรก รวมถึงยังได้คะแนนรวมการทดสอบจากเว็บไซต์ทดสอบกล้องชื่อดังระดับโลกอย่าง DxOMark ถึง 97 คะแนน ซึ่งเทียบชั้นเดียวกันกับ Huawei Mate 10 Pro, iPhone X และยังเหนือกว่า iPhone 8 Plus ซะด้วยซ้ำไป จึงไม่แปลกใจที่จะเป็นรุ่นที่ได้รับการคาดหวังจากแฟนๆ ชาว Mi
แต่ทั้งนี้ ก็อย่างที่ผมเกริ่นไปสองรอบว่าเครื่องนี้ยังเป็นเครื่องทดสอบ ซึ่งซอฟต์แวร์ยังเป็นรุ่นทดสอบใช้งานอยู่ จึงทำให้ไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้งานได้เต็มที่ โดยจากที่ผมรีวิว Xiaomi Mi Mix 2S เครื่องนี้มา พบจุดที่เป็นปัญหาในการทดสอบกล้องบางประการ เช่น
- หลังจากใช้งานไปซักพัก บางครั้งกล้องจะไม่สามารถใช้งานได้ เช่น หน้าจอมืด หรือมีป๊อปอัพแจ้งเตือนว่าไม่สามารถเชื่อมต่อกับกล้องได้ เป็นต้น วิธีแก้ก็คือ restart เครื่องใหม่ จึงจะใช้งานได้
- หากพบปัญหาเกี่ยวกับกล้องแล้วหนึ่งครั้ง แนะนำให้ restart เครื่องทันที เพราะหากถ่ายรูปต่อไป บางครั้ง ระบบจะไม่บันทึกรูปที่ถ่ายหลังจากเกิดปัญหากล้องลงในเมม ทำให้ภาพชุดนั้นสูญหายไปเลย
- โหมดซูม 2x ใช้งานได้บางครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะใช้งานไม่ค่อยได้
นอกจากนี้ ส่วนของ AI ที่ช่วยประมวลผลภาพ การทำงานของมันจะอยู่เป็นเบื้องหลัง ไม่มีการแสดงผลให้เห็นระหว่างพรีวิวก่อนถ่าย สามารถกดเปิด/ปิดได้ ก็ดูเหมือนจะยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะทำได้อยู่เหมือนกัน ทั้งหมดนี้ก็คงต้องรอให้เฟิร์มแวร์สมบูรณ์ออกมาพร้อมเครื่องขายจริงก่อนนะครับ ถึงจะเห็นว่ากล้องของ Xiaomi Mi Mix 2S มันดีจริงๆ ขนาดไหน สำหรับในรีวิวนี้ก็จะเน้นที่ภาพถ่ายจากโหมดออโต้ทั่วไป แล้วก็ภาพตัวอย่างจากบางโหมดที่น่าสนใจ และพอใช้งานได้มาก็แล้วกัน
โหมด Portrait
สำหรับโหมด Portrait หลักการมันก็คือการใช้เลนส์กล้องทั้งสองตัวมาประมวลผลร่วมกัน เพื่อให้สามารถแยกระยะชัดตื้น-ลึกในภาพได้ ผลลัพธ์ที่จะเห็นได้ชัดสุดก็คือการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอที่ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลที่ต้องการเน้นตัวแบบมากกว่าพื้นหลัง สำหรับวิธีการใช้งานก็ไม่ยากครับ เพียงเปิดแอปกล้อง แล้วเลื่อนไปที่โหมด Portrait โดยเมื่อเปลี่ยนโหมดแล้ว ภาพพรีวิวจะมีระยะใกล้เข้ามากว่าปกติ อันเกิดมาจากการปรับมาใช้ระยะของเลนส์เทเล และจะเห็นภาพพรีวิวของจุดที่ชัดและเบลอแบบเบื้องต้นด้วย ถ้าหากต้องการเลือกจุดชัด ก็สามารถแตะนิ้วลงบนบริเวณที่ต้องการได้เลย หากวัตถุนั้นอยู่ใกล้เกินไป ก็จะมีข้อความแจ้งให้ถอยออกมา เพื่อเว้นระยะให้ตัวกล้องสามารถจับโฟกัส และสร้างระยะความชัดตื้น-ลึกได้
การใช้งานโดยรวม ก็จัดว่าไม่ยาก ไม่ง่าย จะมีแค่บางจังหวะที่กล้องไม่สามารถโฟกัสให้จุดที่เลือกเป็นจุดชัดได้ ก็ต้องจิ้มย้ำๆ ลงไปจนสามารถโฟกัสได้อยู่บ้างเหมือนกัน
ด้านบนนี้คือตัวอย่างภาพในโหมด Portrait ครับ เลือกจุดโฟกัสที่แก้วน้ำ แต่รู้สึกว่าภาพที่ได้จะมืดกว่าแสงสว่างในร้านจริงๆ เล็กน้อย ส่วนการเลือกจุดชัด/เบลอของซอฟต์แวร์ก็ทำได้ค่อนข้างดี มีตรงจุดตัดกันระหวางหลอดน้ำกับโต๊ะที่เพี้ยนไปหน่อย ที่น่าสนใจคือผมลองเปิด EXIF ของไฟล์ภาพด้านบนนี้ดู พบรายละเอียดตามนี้
- ระยะ focal length 5.2 mm เทียบระยะกับฟิล์ม 35 mm แล้วอยู่ที่ 26 mm (เป็นระยะของเลนส์ไวด์)
- ความเร็วชัตเตอร์ 1/40 s
- ความกว้างรูรับแสง f/2.4 (เป็นรูรับแสงของเลนส์เทเล)
- ISO 1600
นั่นก็คือ การถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait จะเป็นการทำงานร่วมกันของทั้งสองเลนส์ ทั้งส่วนของระยะ focal length ที่แตกต่างกัน และความกว้างรูรับแสงที่แตกต่างกัน เพื่อการเบลอพื้นหลังที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
การซูม 2 เท่าแบบออปติคอล
เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นสำหรับมือถือที่มีกล้องสองตัว ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถซูมภาพให้ดูใกล้ยิ่งขึ้นตั้งแต่ตอนถ่ายภาพ โดยจะเป็นการซูมแบบออปติคอลด้วยตัวเลนส์จริงๆ ซึ่งให้ภาพคุณภาพสูงกว่าการซูมแบบดิจิตอลในมือถือทั่วๆ ไป สำหรับใน Xiaomi Mi Mix 2S ก็สามารถซูมได้ 2x ด้วยชุดเลนส์และเซ็นเซอร์รับภาพตัวรอง ผลที่ได้ก็ตามภาพชุดด้านล่างนี้
ภาพซ้ายถ่ายด้วยเลนส์ไวด์ปกติ ส่วนภาพขวาคือภาพที่ถ่ายด้วยการซูม 2 เท่าครับ สาเหตุที่ภาพขวามี noise เยอะ อาจจะเกิดจากการใช้ ISO 1600 ในการถ่ายภาพด้วยส่วนหนึ่ง แต่ส่วนตัวผมมองว่าตัวซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพอาจจะยังไม่ได้ทำการลด noise ลง เพราะกล้องมือถือรุ่นสูงๆ สมัยนี้ น่าจะสามารถถ่ายที่ ISO 1600 แล้วได้ noise น้อยกว่านี้กันหมดแล้ว
ตำแหน่งของกล้องหน้า
กล้องหน้าของ Xiaomi Mi Mix 2S ถูกวางไว้ที่มุมขวาล่างสุดของเครื่อง ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการถ่ายเซลฟี่แนวตั้ง ต้องพลิกเครื่องกลับหัวกันซักเล็กน้อย โดยหลังจากพลิกแล้ว อินเตอร์เฟสของแอปกล้องก็จะกลับหัวตามมา เพื่อให้สามารถใช้งานได้เหมือนปกติ แต่ถ้าหากไม่กลับหัวเครื่อง มุมภาพที่ได้ก็จะแปลกๆ ไปซักหน่อยครับ เทียบได้จากภาพด้านบน โดยภาพซ้ายคือผมถือเครื่องในมุมปกติ กล้องอยู่มุมขวาล่าง ภาพที่ออกมาเลยจะดูตำแหน่งแปลกๆ ไปหน่อย ส่วนภาพขวาคือหลังจากผมพลิกเครื่องกลับหัวแล้ว กล้องอยู่มุมซ้ายบนของเครื่อง ภาพที่ได้ก็จะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางพอดี
ส่วนแกลเลอรี่ด้านล่างนี้ คือภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Xiaomi Mi Mix 2S ครับ สำหรับภาพที่เป็นมุมเดียวกันแต่มีซ้ำ ภาพแรกจะเป็นการถ่ายแบบปกติ ส่วนภาพถัดมาจะเป็นภาพจากโหมด HDR นะครับ
Performance / ประสิทธิภาพ ความแรง
ในงานเปิดตัวนั้น Xiaomi สร้างสีสันด้วยการประกาศว่า Mi Mix 2S มาพร้อมคะแนนทดสอบจากแอป AnTuTu สูงถึง 27x,xxx คะแนน ซึ่งจัดว่าเป็นรุ่นที่ทำคะแนนได้สูงที่สุดในขณะนี้ ด้วยการใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 845 ร่วมกับแรม 8 GB และรอมความเร็วสูงอีก 256 GB ทิ้งห่างกลุ่มของเครื่องตัวท็อปรุ่นอื่นๆ ถึงกว่า 60,000 คะแนน ซึ่งนับเป็นช่วงที่ทิ้งห่างเยอะมากจริงๆ
แต่พอถึงเวลาที่ผมทดสอบในเครื่องที่ได้รับมา ผลกลับกลายเป็นว่ามันทำคะแนน AnTuTu ได้ราวๆ 200,000 คะแนนเท่านั้น ใกล้เคียงกับเครื่องที่ใช้ Snapdragon 835 ไปซะได้ ทั้งๆ ที่ลองเช็คสเปคด้วยแอปอื่นๆ ก็แจ้งว่าเป็นชิป Snap 845 อย่างที่แจ้ง ตรงนี้ก็น่าจะเกิดจากเฟิร์มแวร์ยังไม่ใช่เวอร์ชันจริง มันเลยยังไม่สามารถรีดคะแนนออกมาได้เต็มประสิทธิภาพครับ ด้านของการจับ GPS และการใช้นำทาง พบว่าสามารถจับได้แม่นยำ และรวดเร็ว แถมในบางสถานการณ์ยังเร็วกว่า iPhone X ที่วางอยู่คู่กันด้วยซ้ำ
ปิดท้ายด้วยเรื่องแบตเตอรี่ของ Xiaomi Mi Mix 2S ด้วยความจุแบตที่ให้มา 3400 mAh แสดงผลด้วยจอความละเอียดระดับเกิน Full HD แค่เล็กน้อยในส่วนของด้านยาว ทำให้อัตราการใช้พลังงานไม่ได้สูงมากนัก แม้จะเป็นชิปประมวลผลระดับท็อปก็ตาม แต่ภายในมันก็จะมีการจัดการเลือกใช้แค่บางคอร์เพื่อรับมือกับงานเบาๆ ทำให้มันไม่ได้สูบแบตมากนัก โดยจากรูปแบบการใช้งานทั่วไปของผมคือ ต่อ 4G ทั้งวัน (ทั้งสองซิม) มีใช้ Line, Facebook เปิดเว็บเป็นระยะๆ มีถ่ายรูปบ้างนิดหน่อย ก็สามารถใช้งานได้จนแบตเหลือ 20% ในระยะเวลาประมาณ 12 ชั่วโมงกว่า ก็จัดว่าสามารถใช้งานได้ 1 วัน ถ้าหากต้องการให้ใช้ได้นานกว่านี้อีก ก็อาจจะปรับบางส่วน เช่น เปิดใช้งานซิมเดียว ปิด Bluetooth ก็ช่วยได้นิดหน่อย
ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ หากใช้อะแดปเตอร์ที่แถมมาในกล่อง หรือหาอะแดปเตอร์อื่นๆ ที่รองรับ Quick Charge 3.0 ก็สบายใหญ่เลย สามารถชาร์จจนเต็มได้ภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง อัตราการชาร์จไฟเข้าก็คือ 1 นาที ชาร์จเข้าได้ 1% กว่าๆ โดยในช่วงแรกจะชาร์จเข้าได้เร็วมาก และค่อยๆ ปรับลดระดับไฟลงตอนช่วงที่แบตเตอรี่เกิน 80% ขึ้นไปแล้ว เพื่อเป็นการถนอมอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ส่วนการชาร์จแบบไร้สายกับแท่นของ Xiaomi เอง ระบบจะแจ้งว่าเป็นการชาร์จแบบธรรมดา และประเมินมาว่าน่าจะใช้เวลาชาร์จราว 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะเต็มครับ เลยอาจจะเหมาะใช้ชาร์จระหว่างนอนหลับ หรือเวลาที่ไม่ต้องรีบเร่งซะมากกว่า
ข้อดี
ข้อสังเกต
บทสรุป
BEST PRICE